วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

Jules Verne




Born Jules Gabriel Verne 8 February 1828(1828-02-08)

Nantes, France

Died 24 March 1905 (aged 77)

Amiens, France

Occupation Novelist

Nationality French

Genres Science fiction, adventure novel
Notable work(s) A Journey to the Centre of the Earth, Twenty Thousand Leagues Under the Sea, Around the World in Eighty Days, From the Earth to the Moon,The Mysterious Island


Jules Gabriel Verne (8 February 1828 – 24 March 1905) was a French author who helped pioneer the science-fiction genre. He is best known for his novels A Journey to the Centre of the Earth (1864), From the Earth to the Moon (1865), Twenty Thousand Leagues under the Sea (1869–1870), Around the World in Eighty Days (1873) and The Mysterious Island (1875). Verne wrote about space, air, and underwater travel before navigable aircraft and practical submarines were invented, and before any means of space travel had been devised. Consequently he is often referred to as the "Father of science fiction", along with H. G. Wells.[1] Verne is the second most translated author of all time, only behind Agatha Christie, with 4223 translations, according to Index Translationum.[2] Some of his works have been made into films.

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกดาหลา










ชื่อวิทยาศาสตร์ Etlingera elatior (Jack) R.M. Sm

ตระกูล ZINGIBERACEAE

ชื่อสามัญ Torch Ginger



ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น
ดาหลาเป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า (rhizome) เหง้านี้ จะเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ดาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ในเวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม (pseudostem) ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม

ใบ
มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างแล้วค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบ ใบไม่มีก้านใบ ผิวเกลี้ยงท้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30-80 เซ็นติเมตร กว้าง 10-15 เซนติเมตร ปลายใบ แหลมฐานใบเรียวลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ

ดอก
ดอกดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ (head) ประกอบด้วยกลีบประดับ (Bracts) มี 2 ขนาด ส่วนโคนประกอบด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่ มีความกว้างกลีบ 2-3 ซ.ม. จะมีสีแดงขลิบขาวเรียงซ้อนกันอยู่และจะบานออก ประมาณ 25-30 กลีบ และมีกลีบประดับ ขนาดเล็กอยู่ส่วนบนของช่อดอก ความกว้างกลีบประมาณ 1 ซ.ม. ซึ่งมีสีเดียวกับกลีบประดับ ขนาดใหญ่ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเข้าเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300-330 กลีบ ภายในกลีบ ประดับขนาดใหญ่ที่บานออกจะมีดอกจนิงขนาดเล็กกลีบดอกสีแดง ซึ่งเป็นดอกสมบูรณ์เพศอยู่ จำนวนมาก ดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างดอกประมาณ 14-16 เซนติเมตร ความยาวช่อ 10-15 เซนติเมตร มีก้านช่อดอกยาว 30-150 เซนติเมตร ลักษณะก้านช่อดอกแข็งตรง ดอก จะออกตลอดปีแต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูร้อน คือ เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ดอกจะ พัฒนามาจากหน่อดอกที่แทงออกมาจากเหง้าใต้ดินลักษณะของหน่อจะมีสีชมพู ที่ปลายหน่อ



พันธุ์
ปัจจุบันพันธุ์ดาหลาที่ปลูกตัดดอกมีอยู่ 2 พันธุ์ด้วยกันคือ พันธุ์สีชมพู และพันธุ์สีแดง

การขยายพันธุ์


ดาหลาสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
1. การแยกหน่อ
ควรแยกหน่อที่มีความเหมาะสมนำไปปลูกคือ สูงประมาณ 60-100 ซ.ม. ขึ้นไปและมีกิ่งอ่อนกึ่งแก่นประมาณ 4-5 ใบ ใช้มีตัดให้มีเหง้า และรากติดอยู่ด้วย ซึ่งหน่อชนิดนี้จะมีหน่อดอกอ่อน ๆ ติดมาด้วยประมาณ 3 หน่อ นำไปชำในถึงพลาสติก 1 เดือนเพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนปลูก
2. การแยกเหง้า
โดยการแยกเหง้าที่เกิดใหม่ที่โคนต้น แล้วนำไปชำในแปลงเพาะชำ วิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงจะเริ่มให้ดอก
3. การปักชำหน่อแก่
โดยนำไปชำในแปลงเพาะชำให้แตกหน่อใหม่แข็งแรง แล้วจึงค่อยย้ายมาปลูกลงแปลง

การเตรียมแปลงปลูกดาหลา

พื้นที่ดอน
ทำการพรวน ตากดินไว้ประมาณ 5 - 7 วัน และย่อยดินให้ละเอียดเก็บวัชพืชออกให้หมด

พื้นที่ลุ่ม
ทำการขุดยกร่องสวน มีคูน้ำลึก 1 เมตร กว้าง 1 เมตร แปลงปลูกกว้าง 2-3 เมตร ความยาวตามขนาดของพื้นที่ และมีการไถพรวนตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน เก็บวัชพืชออกให้หมด

การเตรียมดิน
การเตรียมดินโดยไถพรวนดิน แล้วขุดหลุมปลูก จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมในกรณีที่ปลูกดาหลาแบบไม่ยกร่องสวน จะทำการไถปรับดินให้สม่ำเสมอ เพิ่มปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตร 20-20-20 ในอัตรา 1 : 25 แล้วขุดหลุมปลูกแบบเดียวกับการปลูกแบบยกร่องสวนนี้อาจปลูกแซมในไม้หลักเช่น ไม้ผล



ระยะปลูก
การปลูกดาหลาจะไม่มีระยะปลูกที่แน่นอน แต่จะขึ้นอยู่กับความต้องการและความสะดวกของเกษตรกรเอง โดยส่วนใหญ่แล้วเกษตรกรจะปลูกในระยะ 2 x 2 เมตร

การปลูก
โดยใช้หน่อที่มีเหง้าและรากติดมาด้วย เหง้าที่ตัดมาควรมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว โดยสังเกตุให้หน่อนั้น ๆ มีใบติดมาประมาณ 4 คู่ใบ ปลูกลงในหลุมที่เตรียมไว้ แล้วทำการกลบดินให้สูงประมาณ 6 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม อาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพอกทับโคนต้น เพื่อรักษาความชุ่มชื้น นอกจากนี้ควรหาไม้หลักมาผูกติดกับลำต้นกันต้นโยก

การดูแลรักษาดาหลา


การให้ปุ๋ย
จะให้ปุ๋ยดาหลาประมาณ 2 - 3 เดือนต่อครั้ง ซึ่งจะใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ (16-16-16) ในอัตรา 96 กก./ไร่/ปี และให้ปุ๋ยคอกในอัตรา 15 กก./ต้น/ปี นอกจากนี้อาจใช้อินทรีย์วัสถุที่ผุพังแล้ว เช่น ใบไม้ต่าง ๆ หรือลำต้นแก่ของดาหลา, วัชพืชที่ขึ้นตามท้องร่อง มาเป็นปุ๋ยหมัก หรืออาจใช้ดินเลนจากท้องร่องพูนใส่ตามโค้นต้น ซึ่งดินแลนนี้จะมีอินทรีย์วัตถุสูง

การให้น้ำ
ดาหลาเป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณที่มากพอสมควร โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของการปลูก ควรรดน้ำให้ชุ่ม โดยใช้แครงสาดวันละ 1 ครั้ง เมื่อต้นดาหลาตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็นประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง แต่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ถ้าเป็นฤดูร้อนควรเพิ่มการให้น้ำมากขึ้นโดยใช้ระบบการให้น้ำแบบพ่นฝอย (springkler) บนแปลงที่ไม่ยกร่อง

การป้องกันกำจัดวัชพืช
ดาหลาเป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตเร็ว แตกหน่อได้มาก ทำให้กอแน่นใบบังแสงซึ่งกันและกัน การกำจัดวัชพืชจะต้องกระทำมากในช่วงแรกของการปลูก เมื่อดาหลาโตมาก ๆ จะทำให้แสงที่ส่องผ่านมากระทบพื้นดินน้อย วัชพืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จึงไม่ต้องทำการกำจัดวัชพืชมากนัก

โรคและแมลง
ยังไม่พบโรคที่เป็นปัญหาสำคัญกับดาหลา แต่มีแมลงสำคัญดังนี้

1. หนอนเจาะลำต้น
ลักษณะการทำลาย
เข้าทำลายต้นแก่ โดยไปเจาะบริเวณลำต้น ทำให้ต้นดาหลาหยุดชะงักการเจริญเติบโต และไม่สามารถให้ออกดอกได้
การป้องกันกำจัด
ใช้ฟูราดาน 3% โรยบริเวณรอบ ๆ โค้นต้น หรืออาจใช้เซฟวิน

2. มดแดง
ลักษณะการทำลาย
กรดจากสิ่งขับถ่ายของมดแดงจะทำให้กีบดอกเกิดรอยขาวเป็นจุด ๆ
การป้องกันกำจัด
เก็บรังมดแดงออกจากต้น และใช้ย่าฆ่ามด

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

น้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ

ปัญหากลิ่นปากเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้เสียบุคลิกภาพ และแสดงถึงปัญหา
สุขภาพในช่องปากอีกด้วย การแก้ไขด้วยการใช้น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ที่มีส่วนผสม
ของแอลกอฮอล์เกินมาตรฐาน (เข้มข้นมากกว่า 26%) ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็ง
บริเวณศรีษะ และลำคอ

การดับกลิ่นปากด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ขอแนะนำ 2 สูตรน้ำยาดับกลิ่นปาก จากธรรมชาติ ดังนี้

1. ขิง และมะนาว
ใช้น้ำขิงสด 1 ช้อนชา, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 แก้ว
ผสมให้เข้ากัน ใช้กลั้วปากวันละ 1 ครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า
2. ใบฝรั่ง
ล้างใบฝรั่งให้สะอาด นำมาหรือตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำเกลือ 0.9%(หาซื้อได้
ตามร้านขายยาทั่วไป) แช่ไว้ 10-15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ เก็บไว้ใช้บ้วนปาก

แม้จะมีส่วนผสมที่หาได้ง่าย และทำเองไม่ยาก แต่การแก้ที่ต้นตอของปัญหา
ที่แท้จริง คือ การดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี ด้วยการทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเป็นการช่วยให้สุขภาพดีจากภายใน
อย่างแท้จริง

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ส้ม



ส้ม เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กหลายชนิดในสกุล Citrus วงศ์ Rutaceae มีด้วยกันนับร้อยชนิด เติบโตกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมากจะมีน้ำมันหอมระเหยในใบ ดอก และผล และมีกลิ่นฉุน หากนำใบขึ้นส่องกับแสงแดด จะเห็นจุดเล็กๆ เต็มไปหมด ซึ่งจุดเหล่านั้นก็คือแหล่งน้ำมันนั่นเอง ส้มหลายชนิดรับประทานได้ ผลมีรสเปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซียม โปแทสเซียม ไวตามินเอ และไวตามินซี มากเป็นพิเศษ ถ้าผลไม้จำพวกนี้มี มะ อยู่หน้า ต้องตัดคำ ส้ม ออก เช่น ส้มมะนาว ส้มมะกรูด เป็น มะนาว มะกรูด

อนุกรมวิธานของส้มนั้น มีความยุ่งยากและสับสนมาช้านาน และเป็นที่ถกเถียงในการจำแนกและตั้งชื่อชนิด (สปีชีส์) ของส้มอยู่เสมอ และการจำแนกกลุ่มยังขึ้นกับนักอนุกรมวิธานด้วย เช่น สวิงเกิล (Swingle) จำแนกได้ 16 ชนิด, ทานาคา (Tanaka) จำแนกได้ 162 ชนิด และฮอจสัน (Hodgson) จำแนก 36 ชนิด ขณะที่บางท่านเสนอว่าส้มทั้งหลายจัดเป็นพืชชนิดเดียวกัน ที่สามารถผสมพันธุ์ระหว่างกันได้ ขณะเดียวกัน การจำแนกอย่างละเอียดของทานาคา ก็สร้างความสำเร็จได้ เนื่องจากพบในภายหลังว่า บางชนิดเป็นเพียงการผสมข้ามสายพันธุ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกหากเราจะพบชื่อวิทยาศาสตร์ของส้มหลายชนิดที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อความแน่นอน จึงมักจะระบุถึงนักอนุกรมวิธานผู้จำแนกเอาไว้ด้วยพืชตระกูลส้ม

ปัจจุบันนี้ มีการใช้เทคนิคในการระบุเอกลักษณ์ด้วยดีเอ็นเอ (DNA) และมีการเสนอว่าอาจจะมีชนิดพื้นฐานของส้มอย่างกว้างๆ 4 ชนิด ด้วยกัน คือ

C. halimii - พบทางภาคใต้ของไทย และตะวันตกของมาเลเซีย อาจเป็นชนิดต้นกำเนิดของส้ม Poncirus และ Fortunella
C. medica - ส้มโอมือ หรือส้มมือ อาจเป็นต้นกำเนิดของมะนาว หรือเลมอน (lemon)
C. reticulata - อาจเป็นต้นกำเนิดของส้มจำพวกส้มเขียวหวานทั้งหลาย
C. maxima (หรือ C. grandis) - ส้มโอ น่าจะเป็นต้นกำเนิดของส้มในปัจจุบันบางชนิดเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

5 วิธีเลือกที่นั่งต้านกระดูกเสื่อม

เมื่อมีอายุมากขึ้นทุกคนอาจเป็นโรคกระดูกเสื่อมได้ตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่
ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน
โรคนี้อาจมาเยือนได้เร็วกว่าบุคคลอื่น ซึ่งวิธีการป้องกันหรือชะลอภาวะกระดูกเสื่อม
แบบง่ายๆ นั้น ทำได้โดยการเลือกที่นั่งให้เหมาะสม 5 วิธี ดังนี้

1. ความสูงของเก้าอี้ ต้องเท่ากับช่วงยาวของขาท่อนล่าง (น่อง) ตั้งแต่ข้อพับ
หลังหัวเข่าลงไปถึงเท้า เพื่อจะได้วางเท้าราบพื้นพอดี

2. รูปร่างของเบาะนั่ง ต้องไม่บุ๋มเป็นแอ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้กระดูเชิงกราน
(ซึ่งเป็นฐานของกระดูกสันหลังทั้งหมด) บิดงอ

3. เบาะไม่ควรอยู่ลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป หากพิงไม่ถึง
และต้องเอนตัวไปด้านหลัง จะทำให้หลังงอ

4. ควรมีพนักพิง เพื่อช่วยดันหลังให้อยู่ในท่าตรงตามธรรมชาติ

5. ที่เท้าแขนอยู่ในระดับที่งอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี เพราะนอกจากใช้พักแขน
และข้อศอกแล้วยังใช้สำหรับดันเพื่อยืดตัวให้ตรงขึ้นได้

เล็กน้อยเพียงเท่านี้คงไม่ยากเกินไปที่จะใส่ใจ
กับสิ่งของที่เราต้องใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน
เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้เรื่องไวรัสเล็กๆน้อยๆ

ประเภทของไวรัสและโปรมแกรมมุ่งร้าย(Malware)ต่างๆ

ปัจจุบันมีไวรัสรวมทั้งโปรแกรมมุ่งร้ายอื่นๆ นับหมื่นชนิดและถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกวันแต่มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังแพร่กระจายอยู่ ซึ่งแบ่งตามลักษณะการทำงานได้หลายอย่าง เช่น

*-*ไวรัส*-*

ไวรัสที่ติดบู๊ตเชกเตอร์:ฝังอยู่ที่บริเวณบู๊ตเชกเตอร์ของแผ่นดิสก์ เช่น MBR (Master Boot Record) ของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นส่วนแรกที่ระบบจะเรียกขึ้นมาทำงานทุกครั้งที่บู๊ตเครื่อง

ไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม:ไวรัสประเภทนี้จะฝั่งตัวไว้กับโปรแกรมและจะทำงานเมื่อโปรแกรมนั้นถูกเรียกทำงาน แต่เมื่อปิดโปรแกรม ไวรัสจะยังคงทำงานอยู่ในเครื่อง และรอว่ามีโปรแกรมอื่นใดบ้างที่ถูกเรียกทำงาน ก็จะฝังตัวเข้าไปใน โปรแกรมใหม่นั้นเลย ซึ่งจะติดเฉพาะไฟล์โปรแกรมที่ลงท้ายด้วย.comหรือ.exeเท่านั้น

มาโครไวรัส(marcro Virus):ฝังตัวไฟล์เอกสาร เช่น Word,Excelในรูปมาโคร(macro)หรือโปรแกรมสำหรับทำงานอัตโนมัติภายในแอพพลิเคชั่นนั้นๆโดยจะทำงานเมื่อเปิดเอกสาร

ไวรัสที่มากับE-mail:จะทำงานเมื่อผู้รับเปิดอ่านอีเมล์หรือเปิดไฟล์เอกสารที่แนบมา

Trojan Horse

ทำตัวเหมือนโปรแกรมที่มีประโยชน์ หลอกให้ผู้ใช้สั่ง Run แต่แอบทำอย่างอื่น เช่น ขโมยข้อมูลลบไฟล์ เปิดช่องให้ผู้อื่นแอบเข้าควบคุมเครื่องฯลฯ



Worm(เวิร์ม)

หรือ “หนอนอินเทอร์เน็ต” แตกต่างจากไวรัสคือสามารถแทรกซึมไปยังเครื่องต่างๆที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องฝังตัวเองไว้กับโปนแกรมหรือไฟล์ใดๆ

Malwareอื่นๆ

Malwarec หมายถึง โปรแกรมประเภทที่มุ่งร้ายต่างๆรวมถึงไวรัส หนอนอินเทอร์เน็ต และโทรจันที่กล่าวแล้ว และอื่นๆ เช่น

Dialer จะแอบสั่งโมเด็มของคุณให้ตัดสายจาก ISP แล้วหมุนโทรศัพท์ไปยังหมายเลขของผู้ให้บริการในต่างประเทศแทนโดยที่คุณไม่รู้ตัว ทำให้ต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์ทางไกลไปต่างประเทศซึ่งแพงมาก

Exploit เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาให้สามารถเจาะระบบโดยอาศัยช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการหรืแอพพลิเคชั่นที่ทำงานอยู่บนระบบ เพื่อให้ไวรัสหรือผู้บุกรุกสมารถครอบครอง ควบคุม หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งบนระบบได้

Hoaxต่างกับตัวอื่นๆตรงที่ไม่ใช่ของจริงที่เป็นอันตราย แต่เป็นเรื่องหลอกลวงที่มักอยู่ในรูปส่งข้อความต่อๆกันไป(plain text)ก็ติดไวรัสได้ทำให้คนอื่นตื่นตระหนก เป็นต้น

Spyware/Adware

เป็นโปรแกรมอีกประเภทที่แอบแฝงตัวอยู่ในเครื่อง แล้วแอบทำสิ่งต่างๆ โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว ซึ่งอาจสร้างความรำคาญหรือความเสียหายต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ เช่นขโมยข้อมูลสำคัญในเครื่อง เช่นรหัสผ่าน หมายเลขบัตรเครดิต ฯลฯ หรือบ่งตัวก็อาจไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้อมูลในเครื่อง แต่ก็สามารถก่อกวนให้เกิดความรำคาญในขณะใช้งาน เช่น แสดงโฆษณาสินค้า เชิญชวนให้เล่นการพนัน หรือโชว์ภาพอนาจาร ตลอดจนเปิดเวบไม่พึงประสงฆ์ต่างๆขึ้นมาเองโดยผู้ใช้ไม่ได้สั่ง หรือที่ร้ายกว่านั้นอาจมีผลข้างเคียงกับการทำงานของโปรแกรมอื่นๆได้อย่างคาดไม่ถึง ทำให้โปรแกรมที่เคยใช้ปกติกลับรวน เช่นคีย์ภาษาไทยในช่องรับข้อมูลของแบบฟอร์มบนเว็บไม่ได้ เป็นต้นนับเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ

Spam mail (junk mail)

ภัยอีกกย่างที่มีผลกระทบไม่น้อยคือ การส่งอีเมล์ไปบังผู้รับที่ไม่ต้องการอ่านหรือไม่ได้ร้องขอ(unsolicited e-mail)โดยส่งเป็นจำนวนมากๆ เช่นนับแสนหรือล้านฉบับโดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายตั้งแต่โฆษณาสินค้า การล่อลวง การโจมตีระบบให้ทำงานไม่ได้ฯลฯ อีเมล์ประเภทนี้จะรบกวนกานใช้งานปกติของอินเทอร์เน็ต เช่นเพิ่มปริมาณข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ในสายสื่อสาร กินเนื้อที่ในเมล์

บ็อกซ์ของผู้รับ ทำให้เสียเวลาสแกนด้วยโปรแกรม หรือเสียเวลาของผู้ใช้ที่ต้องคอยคัดแยกและลบทิ้งด้วยตนเองโปรแกรมรับส่งเมล์อันใหม่ๆโดยทั่วไปแล้วจะคัดเมล์ขยะได้บางส่วน แต่ก็ไม่หมด100%และไม่แน่ว่าคัดเอาเมล์ที่ต้องการไปด้วยหรือเปล่า เราจึงควรตรวจเช็คอีกทีเสมอ