วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ ปล่อยผมช่วยคลายเครียด…

การ ที่มัดผมบ่อย ๆ นั้นเป็นการทำร้ายผมโดยตรง ซึ่งบางครั้งสารเคมีเหล่านี้จะสะสมในร่างกายและอาจเกิดรุมเร้าตามมาที่หลัง แม้กระทั่งการที่มัดหรือผูกผมก็เช่นกัน ผม ที่ถูกมัดจนตึง มักจะทำให้เรารู้สึกมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยเป็นประจำ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะนั่นเอง โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่
ผู้หญิงที่ ชอบมัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ เป็นเพราะชอบไว้ผมยาวแต่ไม่ชอบปล่อยผม ทำงานที่ไม่สะดวกต้องการความกระชับ ทำงานกลางแจ้งหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก จึงมีความจำเป็นต้องมัดผม อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรัง และทำให้เกิดโรคเครียดตามมาอย่างคาดไม่ถึง
เนื่องจากการรัดผม คาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ ทำให้หนังศีรษะถูกเหนี่ยวรั้งมากขึ้น นอกจากจะทำให้หน้าผากกว้างมากขึ้น ยังทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้ง่าย เพราะรากผมถูกทำลายจากแรงดึงแล้ว ยังทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะไม่สะดวก นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังและโรคเครียดได้อย่างง่ายดาย
เพราะ ปกติผู้หญิงทำงานต้องแบกรับความเครียดอย่างมากอยู่แล้วในแต่ละวัน หากหันมาปล่อยผมให้สบาย ๆ บ้าง เลือดจะได้ไหลไปเลี้ยงสมองได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความเครียดและอาการปวดตึง บริเวณศีรษะและท้ายทอย เนื่องจากความเครียดได้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

พลังบำบัดจากน้ำมะพร้าว

เดี๋ยวนี้มีน้ำผลไม้ให้เราเลือกดื่มมากมาย แต่รู้ไหมว่า น้ำมะพร้าวราคาถูกแสนถูกนี่แหละค่ะ ถือเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะ นอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น มะพร้าวมีลำต้นสูง ทำให้ธาตุอาหารต่างๆในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้นและผลต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้ น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว หากเปิดลูกมะพร้าว แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง (แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม) ควรกินให้หมดทีเดียว ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง ค่อยๆตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่ม น้ำมะพร้าวบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ มีประโยชน์กว่าน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย วันนี้คุณดื่มน้ำมะพร้าวหรือยังคะ

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระวังเชื้อโรคจากสบู่เหลวในห้องน้ำ

ถ้าหากคุณกำลังล้างมือในห้องน้ำสาธารณะ และกำลังมองหาสบู่อยู่ล่ะก็หยุดเลยค่ะ!!! รู้ตัวหรือไม่ว่าคุณกำลังเสี่ยงกับการสัมผัสเชื้อโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว …
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่าสบู่เหลวในห้องน้ำชนิดที่ต้องเปิดฝาเติมน้ำสบู่อยู่เรื่อยๆ มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ด้วย โดยมหาวิทยาลัย อริโซนา สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มีการทำการวิจัยงานเพื่อหาเชื้อปนเปื้อนที่แฝงอยู่ในสบู่ในห้องน้ำสาธารณะ ทั้งร้านอาหาร ฟิตเนส อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้า

โดยการวิจัยดังกล่าวได้มีการเก็บตัวอย่างสบู่จำนวน 541 ตัวอย่าง ทั้งสบู่เหลวแบบเติมและสบู่เหลวแบบบรรจุภัณฑ์ปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) ซึ่งพบว่า สบู่ชนิดกล่องที่ติดผนังห้องน้ำที่ต้องเปิดฝาเติมน้ำสบู่อยู่เรื่อยๆ มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึงร้อยละ 25 จาก 133 ตัวอย่าง โดยร้อยละ 65 ของเชื้อที่พบคือเชื้อโคลิฟอร์ม ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบมากในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลือดอุ่นและมีโอกาสส่ง ผลกระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ได้ ทั้งในระบบทางเดินหายใจ กระแสโลหิต ระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง สิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่มีการเปิดฝากล่องเพื่อเติมสบู่ แต่สบู่เหลวที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบปิดกลับไม่พบเชื้อแบคทีเรียเลย
นอกจากนี้ จากการวิจัยของวารสารสาธารณสุขอเมริกันปี 2544 พบว่า การล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกวิธีอย่างน้อย 5ครั้งต่อวัน สามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อหวัดได้ถึงร้อยละ 45 ทั้งนี้จากการศึกษางานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า การใช้กระดาษเช็ดมือทุกครั้งหลังการล้างมือจะช่วยให้แบคทีเรียลดลงถึงร้อยละ 58 ในขณะที่การใช้เครื่องเป่าลมร้อนกลับพบแบคทีเรียในมือเพิ่มขึ้นร้อยละ 25
เห็นรึเปล่าล่ะค่ะว่าพฤติกรรมของน้องๆ หลายคนสุ่มเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคจากห้องน้ำสาธารณะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น การล้างมือด้วยสบู่เหลว การใช้เครื่องเป่าลมร้อนให้มือแห้ง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการรับเชื่อโรคทั้งนั้นเลยนะคะ รู้แบบนี้คงจะต้องระวังกันไว้บ้างซะแล้วล่ะค่ะ

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

ุ6 เคล็ดลับถนอมดวงตาเวลาใช้คอมนานๆ

สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรืออาการทางสายตาอื่นๆ กันบ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ



เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์



1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 -22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น



2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ50 - 70ซ. ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป



3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า



4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)



5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป



6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

5 วิธีเลือกที่นั่งต้านกระดูกเสื่อม



เมื่อมีอายุมากขึ้นทุกคนอาจเป็นโรคกระดูกเสื่อมได้ตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน โรคนี้อาจมาเยือนได้เร็วกว่าบุคคลอื่น ซึ่งวิธีการป้องกันหรือชะลอภาวะกระดูกเสื่อม แบบง่ายๆ นั้น ทำได้โดยการเลือกที่นั่งให้เหมาะสม 5 วิธี ดังนี้


1. ความสูงของเก้าอี้ ต้องเท่ากับช่วงยาวของขาท่อนล่าง (น่อง) ตั้งแต่ข้อพับหลังหัวเข่าลงไปถึงเท้า เพื่อจะได้วางเท้าราบพื้นพอดี


2. รูปร่างของเบาะนั่ง ต้องไม่บุ๋มเป็นแอ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้กระดูเชิงกราน (ซึ่งเป็นฐานของกระดูกสันหลังทั้งหมด) บิดงอ


3. เบาะไม่ควรอยู่ลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป หากพิงไม่ถึงและต้องเอนตัวไปด้านหลัง จะทำให้หลังงอ


4. ควรมีพนักพิง เพื่อช่วยดันหลังให้อยู่ในท่าตรงตามธรรมชาติ


5. ที่เท้าแขนอยู่ในระดับที่งอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี เพราะนอกจากใช้พักแขนและข้อศอกแล้วยังใช้สำหรับดันเพื่อยืดตัวให้ตรงขึ้นได้