วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Coffe

Coffee is a brewed drink prepared from roasted seeds, commonly called coffee beans, of the coffee plant. They are seeds of coffee cherries that grow on trees in over 70 countries, cultivated primarily in Latin America, Southeast Asia, and Africa. Green unroasted coffee is one of the most traded agricultural commodities in the world.Due to its caffeine content, coffee often has a stimulating effect on humans. Today, coffee is the third most popular drink in the world, behind water and tea.
Coffee has played a crucial role in many societies throughout history. The energizing effect of the coffee bean plant is thought to have been discovered in the northeast region of Ethiopia, and the cultivation of coffee first expanded in the Arab world.The earliest credible evidence of coffee drinking appears in the middle of the 15th century, in the Sufi monasteries of Yemen in southern Arabia.[3] From the Muslim world, coffee spread to Italy, then to the rest of Europe, to Indonesia, and to the Americas. In East Africa and Yemen, it was used in religious ceremonies. As a result, the Ethiopian Church banned its secular consumption, a ban in effect until the reign of Emperor Menelik II of Ethiopia. It was banned in Ottoman Turkey during the 17th century for political reasons and was associated with rebellious political activities in Europe.
Coffee berries, which contain the coffee seed, or "bean", are produced by several species of small evergreen bush of the genus Coffea. The two most commonly grown are the highly regarded Coffea arabica, and the 'robusta' form of the hardier Coffea canephora. The latter is resistant to the devastating coffee leaf rust (Hemileia vastatrix). Once ripe, coffee berries are picked, processed, and dried. The seeds are then roasted to varying degrees, depending on the desired flavor. They are then ground and brewed to create coffee. Coffee can be prepared and presented in a variety of ways.

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Chocolate

Chocolate (pronounced /ˈtʃɒklɨt/ ( listen) or /ˈtʃɒkəlɨt/) comprises a number of raw and processed foods produced from the seed of the tropical Theobroma cacao tree. Cacao has been cultivated for at least three millennia in Mexico, Central and South America, with its earliest documented use around 1100 BC. The majority of the Mesoamerican people made chocolate beverages, including the Aztecs, who made it into a beverage known as xocolātl (/ʃo.ko.laːtɬ/), a Nahuatl word meaning "bitter water". The seeds of the cacao tree have an intense bitter taste, and must be fermented to develop the flavor.
After fermentation, the beans are dried, then cleaned, and then roasted, and the shell is removed to produce cacao nibs. The nibs are then ground to cocoa mass, pure chocolate in rough form. Because this cocoa mass usually is liquefied then molded with or without other ingredients, it is called chocolate liquor. The liquor also may be processed into two components: cocoa solids and cocoa butter. Unsweetened baking chocolate (bitter chocolate) contains primarily cocoa solids and cocoa butter in varying proportions. Much of the chocolate consumed today is in the form of sweet chocolate, combining cocoa solids, cocoa butter or other fat, and sugar. Milk chocolate is sweet chocolate that additionally contains milk powder or condensed milk. White chocolate contains cocoa butter, sugar, and milk but no cocoa solids. Cocoa solids contain alkaloids such as theobromine and phenethylamine, which have physiological effects on the body. It has been linked to serotonin levels in the brain. Some research found that chocolate, eaten in moderation, can lower blood pressure.[1] The presence of theobromine renders it toxic to some animals,[2] especially dogs and cats.
Chocolate has become one of the most popular food types and flavors in the world. Gifts of chocolate molded into different shapes have become traditional on certain holidays: chocolate bunnies and eggs are popular on Easter, chocolate coins on Hanukkah, Santa Claus and other holiday symbols on Christmas, and chocolate hearts or chocolate in heart-shaped boxes on Valentine's Day. Chocolate is also used in cold and hot beverages, to produce chocolate milk and hot chocolate.

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โลกร้อน สาเหตุ 10 ปรากฏการณ์ประหลาด

1. สารภูมิแพ้แพร่ระบาดช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวอเมริกันต้องประสบกับอาการไอ จาม เป็นภูมิแพ้ และหอบหืดง่ายและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่จากการศึกษาพบว่า วิถีชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปเพราะสภาพมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้น ทำให้เกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการดังกล่าว ขณะที่งานวิจัยใหม่ๆได้แสดงข้อมูลว่า โลกร้อนขึ้นและมีระดับแก๊สคาร์บอนไ[คำไม่พึงประสงค์]อกไซด์ในอากาศมากขึ้น ทำให้พืชพรรณผลิใบเร็วกว่าเดิม บวกกับปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายในอากาศ ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้ไวขึ้น
2. สัตว์อพยพไร้ที่อยู่สัตว์หลายชนิดต้องอพยพขึ้นที่สูง เช่น หมีขั้วโลก เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้มันไม่สามารถอยู่ในอาร์กติกขั้วโลกเหนือได้
3. พืชขั้วโลกคืนชีพเนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้พืชที่อาจเคยถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ เริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตอีกครั้ง
4. ทะเลสาบหายสาบสูญมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา มีทะเลสาบประมาณ 125 แห่งหายสาบสูญจากอาร์กติก เพราะ เพอร์มาฟรอส ที่เป็นน้ำแข็ง แข็วตัวอยู่ใต้ทะเลสาบนั้นละลายหมด ทำให้น้ำในทะเลซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้
5. น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลายจากภาวะโลกร้อนได้ทำให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน โดยผลที่อาจเกิดตามมาคือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็นรูรั่วใต้ดิน ทำให้สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่เหนือจุดดังกล่าวอาจได้รับความเสียหาย
6. ไฟป่าเกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เพราะสภาพป่าที่แห้งกว่าเดิมจึงนับเป็นเชื้อไฟได้เป็นอย่างดี
7. ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือฤดูหนาวที่สั้นลง ตรงข้ามกับฤดูร้อนที่มาถึงเร็วขึ้น ทำให้บรรดาฝูงนกเกิดปัญหาในการปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพที่ผันแปรไปไม่ทัน ทำให้สัตว์ที่สามารถอยู่รอดได้นั้นต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุด และสัตว์ที่อยู่รอดได้อาจต้องกลายพันธุ์หรือปรับพันธุกรรมใหม่ เพื่อรับมือภัยที่เกิดขึ้น
8. ดาวเทียมโคจรเร็วขึ้นกว่าเดิมแก๊สคาร์บอนไ[คำไม่พึงประสงค์]อกไซด์ที่ถูกปล่อยจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ได้ขึ้นไปสะสมในชั้นบรรยากาศมากขึ้น ทำให้ดาวเทียมที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้นกว่าเดิม
9. ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลกภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งกำลังขยายตัวสูงขึ้น ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่และทำหน้าที่เหมือนตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับในฐานล่างของภูเขาทรุดลงไปใต้พื้นผิว เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขาละลายหายไป ส่วนฐานล่างที่เคยจมอยู่ก็จะค่อยๆ กระเด้งคืนมาเหนือผิวโลก
10. โบราณสถานเสียหายเพราะอากาศที่แปรปรวน ภัยธรรมชาติประเภทต่างๆ ที่เกิดขึ้น สร้างความเสียหายให้แก่โบราณสถาน เมืองเก่า ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ตัวอย่างโบราณสถานในจังหวัดสุโขทัย และอยุธยาที่เจอกับภัยน้ำท่วมใหญ่

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผู้ค้นพบรูทเบียร์ (Root beer) ชาร์ลส์ เอลเมอร์ ไฮร์ส

รูทเบียร์ เป็นเครื่องดื่มประเภทซอฟท์ดริงก์ หรือ เครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์ และเป็นผลงานการทดลองวิทยาศาสตร์ของ "ชาร์ลส์ เอลเมอร์ ไฮร์ส" (Charles Elmer Hires) เภสัชกรชาวเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2394 เขาทำงานและศึกษาด้านเภสัชกรรมมาตั้งแต่อายุ12 ปีเดิมทีผลงานการทดลองวิทยาศาสตร์นี้ เขาต้องการทดลองเพื่อให้ได้ยาที่เขาต้องการ ด้วยการหมักผลเบอร์รีกับสมุนไพรต่างๆ แต่ผลกลับปรากฏว่าได้น้ำรูทเบียร์แทน โดยเขานำมาจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2412 และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเวลาต่อมา
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 รูทเบียร์ได้รับความนิยมอันดับเป็นอันดับหนึ่ง แม้ในงานสังสรรค์รื่นเริงของเกษตรกร ชาวไร ชาวนา ในสหรัฐอเมริกา ที่นิยมนำเครื่องดื่มมาร่วมกันนั้น รูทเบียร์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียวที่มา : หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ที่มีของ ปลั๊ก สามตรา

ปลั๊กสามตาแบบเดิม



เต้ารับ (Socket-outlet หรือ Receptacle) หรือปลั๊กตัวเมีย คือ
ขั้วรับสำหรับหัวเสียบจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ปกติเต้ารับจะติดตั้งอยู่กับที่ เช่น
ติดอยู่กับผนังอาคาร อาจมีทั้งแบบ 2 รู หรือ 3 รู

เต้าเสียบ (Plug) หรือปลั๊กตัวผู้ คือ ขั้วหรือหัวเสียบที่มีสายไฟติดอยู่กับ
เครื่องใช้ไฟฟ้า มีขาโลหะยื่นออกมา 2 ขา หรือ 3 ขา เพื่อเสียบเข้ากับเต้ารับ
ทำให้สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นได้

ส่วน ปลั๊กสามตา มีคำเรียกอย่างเป็นทางการว่า "รางเต้ารับ" หรือ "เต้ารับ
ที่ทำเป็นชุด" ในภาษาอังกฤษเรียก Extension Socket ในอดีตที่ติดตลาด
ได้รับความนิยม และเห็นบ่อยที่สุด คือ แบบตลับกลมๆ หมุนเก็บสายไฟ
ไว้ด้านในได้ และมีช่องเสียบปลั๊กแบบ 2 ขา อยู่ทั้งหมด 3 ช่อง จึงทำให้นิยม
เรียกกันว่า "ปลั๊กสามตา"

ปัจจุบันปลั๊กสามตาพัฒนารูปลักษณ์ทันสมัยขึ้น พร้อมเพิ่มช่องเสียบเป็น 4 ช่อง
หรือ 6 ช่อง มีให้เลือกหลายรูปแบบ หลายราคา แต่ยังนิยมเรียกชื่อเดิม
ซึ่งในการเลือกซื้อควรเลือกที่ได้มาตรฐาน มอก. 166/2549 มีสปริงของเต้ารับ
(หรือตัวล็อกขาเต้าเสียบ) ทำจากทองเหลือง ตัวกล่องฉนวนทำจากพลาสติก ABS
และมีระบบตัดไฟอัติโนมัติ หรือมีฟิวส์ในตัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิด
เพลิงไหม้ในกรณีไฟฟ้าลัดวงจร

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ปรุงเนื้อด้วยเครื่องเทศ ป้องกันมะเร็งได้


เนื้อสัตว์ที่ประกอบอาหารด้วยการผ่านความร้อน เช่น อบ ย่าง ต้ม หรือทอด จะมีสาร Heterocyclic Animes (HCAs) ส่งผลให้ผู้รับประทาน เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ปอด ตับอ่อน เต้านม และต่อมลูกหมาก มากน้อยแตกต่างกันไปตามลักษณะของการให้ความร้อน สาร HCAs ลดลงได้ด้วยเครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหาร เนื่องจากงานวิจัยของ J. Scott Smith ศาสตราจารย์ทางเคมีอาหาร จากมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส (Kansas) ที่ทำการวิจัยกับเครื่องเทศ 6 ชนิด คือ ยี่หร่า, เมล็ดผักชี, ข่า, กระชาย, โรสแมรี่ และขมิ้น พบว่ามีระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้สูงในกระชาย โรสแมรี่ และขมิ้น และสูงที่สุดในโรสแมรี่งานวิจัยก่อนหน้านี้ยังระบุด้วยว่า เครื่องเทศไทย และเครื่องเทศอื่นๆ เช่น อบเชย ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ยับยั้ง HCAs ได้เช่นกัน แต่มีระดับมากน้อยแตกต่างกันตามชนิดของเครื่องเทศแม้ว่าการประกอบอาหารเนื้อสัตว์ ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า 177.78 องศาเซลเซียสไม่เกิน 4 นาที จะพบ HCAs น้อยมากหรือไม่พบเลย แต่ในความเป็นจริงการทำอาหาร 1 จาน มักใช้เวลามากกว่า 4 นาที ดังนั้น เมื่อต้องประกอบอาหารเนื้อสัตว์ หากต้องการลดความเสี่ยงในการเพิ่ม HCAs ควรใส่เครื่องเทศลงในเมนูทุกครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ความรู้

1.เงินตอบแทนความชอบให้แก่ทหารออกประจำการคืออะไร::: (เบี้ยหวัด)
2.หน่วยนับกระดาษเรียกว่าอะไร::: (รีม)
3.กระดาษ 1 รีมมีทั้งหมดกี่แผ่น::: (480แผ่น)
4.คำสอนของพระพุทธเจ้า 84,000 พระธรรมขันธ์สิ่งที่เป็นแก่นพระพุทธธรรมคืออะไร::: (อริยสัจ 4)
5. "ฐานันดรที่ 4" เรียกคนในอาชีพใด::: (นักหนังสือพิมพ์)
6.ดอกกระถินเทศ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าอะไร::: (ดอกคำใต้)
7.อาวุธพกประจำตัวของชาวใต้ในอดีตคืออะไร::: (กริช)
8.ไวรัส บี. เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคอะไร::: (ตับอักเสบ)
9.ภาคใต้ของไทยใช้สัตว์ใดลากเกวียน::: (ควาย)
10.ม้าลายมีลายสีอะไร::: (ลายสีขาว)
11.ม้าเมื่อมันโกรธ จะแสดงอาการอย่างไร::: (หูจะลู่ไปข้างหลัง)
12.พ่อไก่อูกับแม่ไก่แจ้ผสมกันออกลูกเป็นไก่อะไร::: (ไก่พันทาง)
13.คนโบราณเรียกพี่สาวคนโตว่าอะไร::: (เอื้อย พี่สาวคนรองว่าอี่)
14.เลือกควายดีดูอย่างไร::: (มีกีบเอียง จมูกบาน หลังตรง โครงใหญ่)
15.. "โพคาฮอนตัส" คือใคร::: (เจ้าหญิงอินเดียนแดงซึ่งพบรักกับกัปตันจอห์นสมิธ จนเป็นตำนาน)
16.ดินแดนแห่งใดได้ชื่อเป็นดินแดนแห่งการปฏิวัติ::: (อเมริกาใต้)
17.โรคเมราโดมา คือโรคอะไร::: (อาบแดดเกินขนาด)
18.นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ให้เอกราชแก่อินเดียปี 2490 คือใคร::: (คลีเมนต์ แอตลี)
19."วังหน้า" คือวังของใคร::: (วังที่ประทับของพระมหาอุปราชา)
20.ทะเลสาบน้ำจืดที่งดงามของเชียงใหม่ชื่ออะไร::: (อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า)

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

1.ชิเชน อิตซา คาบสมุทรยูคาตาน เม็กซิโก
ชิเชน อิตซาเป็นภาษามายาแปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ชิเชน อิตซาเป็นวิหารที่โด่งดังที่สุดของชนเผ่ามายา ถือเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของอารยธรรมมายา การผสมผสานทางโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างหลากหลายชนิดของชิเชน อิตซา ทั้งพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (เทพเจ้าสูงสุดของชาวมายาซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์) วิหารชัค มุล (รูปปั้นซึ่งเป็นศิลปะแบบมายา) ห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสาหลายพันต้นและลานกว้างที่ใช้เป็นที่ชุมนุมของประชาชนในอดีตนั้น แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของเนื้อที่และพื้นที่ใช้สอย โดยเฉพาะในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคานซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้ายและเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย

2.รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล

รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี

3.มาชู ปิกชู ประเทศเปรู


ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิ ปาชาคูเทค ยูปันกี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา ได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกชื่อว่า มาชู ปิกชู (มีความหมายว่าภูเขาโบราณ) ปัจจุบันอยู่ในประเทศเปรู ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา ซึ่งภายหลังชาวอินคาได้อพยพออกจากเมืองนี้เนื่องจากเกิดโรคระบาดขึ้น หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ จนกระทั่งได้รับการค้นพบใหม่โดยฮิราม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2454

4.กำแพงเมืองจีน

กำแพงเมืองจีนตั้งอยู่บนพรมแดนทางตอนเหนือของประเทศจีน เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน (ราวปี พ.ศ.322-337 หรือ 221-206 ปีก่อนคริสตกาล) โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงป้อมปราการให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกลในอดีต มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6,700 กิโลเมตร ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ผู้คนจำนวนหลายพันคนต้องอุทิศชีวิตให้กับสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมานี้ นอกจากนี้ เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ากำแพงเมืองจีนเป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวในโลกที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ กำแพงเมืองจีนได้รับการคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2529

5.เปตรา ประเทศจอร์แดน

เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้


6.ทัชมาฮาล เมืองอักรา ประเทศอินเดีย


ทัชมาฮาลสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ชาห์ จาฮัน เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของพระนางมุมทัซ มาฮาล มเหสีที่พระองค์ทรงรักมากที่สุดซึ่งเสียชีวิตขณะมีอายุได้เพียง 39 ชันษาหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรคนที่ 14 ทัชมาฮาลสร้างขึ้นระหว่างคริสต์ศักราช 1631-1648 สร้างโดยใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหลัง รวมทั้งใช้วัสดุในการตกแต่งชั้นเลิศจากทั่วเอเชียซึ่งขนส่งโดยใช้ช้างกว่า 1,000 ตัว ทัชมาฮาลได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะแบบมุสลิมที่สวยงามสมบูรณ์แบบมากที่สุดในอินเดีย นอกจากนี้ ทัชมาฮาลยังเป็นสถานที่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดของอินเดีย มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมทัชมาฮาลราวปีละเกือบ 3 ล้านคน

7.สนามกีฬาโคลอสเซียม กรุงโรม ประเทศอิตาลี

สิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลม ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาหาร First Course

ปลาเทราท์ กับฟองลอบสเตอร์แล้วก็ไข่ปลาทำเป็นก้อนน

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปิดฉากศึกตูร์ เดอ ฟรองซ์ 2010


ฝรั่งเศส 23 ก.ค.-อัลแบร์โต คอนทาดอร์ ขยับเข้าใกล้การคว้าแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ อีกสมัย หลังยังเป็นผู้นำเวลารวม ขณะเหลืออีก 3 สเตจ จักรยานทางไกล "ตูร์ เดอ ฟรองซ์" 2010 ช่วงที่ 17 บนเส้นทางขึ้นเขาจากเพา ไปยังคอล ดู ตูร์มาเลต์ ระยะทาง 174 กิโลเมตร อัลแบร์โต คอนทาดอร์ นักปั่นชาวสเปนและแชมป์เก่า ขยับเข้าใกล้โอกาสคว้าแชมป์สมัยที่ 3 หลังจากที่ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำเวลารวมและครองเสื้อเหลืองต่อไป โดยสเตจนี้ขับเคี่ยวกันอย่างสนุกเมื่อ แอนดี้ ชเล็ค น่องเหล็กคู่แข่งสำคัญชาวลักเซมเบิร์ก พยายามฉีกหนีคอนทาดอร์ ช่วง 10 กิโลเมตรสุดท้าย โดยแม้จะปั่นเข้าเส้นชัยเป็นคันแรก แต่ คอนทาดอร์ ปั่นเข้าเส้นชัยตามมาติด ๆ เป็นคันที่ 2 ในเวลาพร้อมกัน 5 ชั่วโมง 3 นาที 29 วินาที ทำให้ คอนทาดอร์ ครองอันดับ 1 เวลารวมต่อไปที่ 83 ชั่วโมง 32 นาที 39 วินาที นำ ชเล็ค อยู่ 8 วินาทีเช่นเดิมทั้งนี้ คอนทาดอร์ มีโอกาสจะป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ เพราะ 3 สเตจสุดท้าย เป็นการแข่งขันบนทางราบ และ นักปั่นวัย 27 ปี มีความเชี่ยวชาญในการปั่นแบบสปรินซ์หรือจับเวลา โดยวันนี้จะใช้เส้นทางจากซาลี เดอ เบิร์น ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสไปยังบอร์กโดซ์ ระยะทางรวม 198 กิโลเมตร.

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความรู้แปลกๆที่เราบางคนอาจยังไม่รู้

- เส้นเลือดในคนๆนึงยาว 99779.33 กม. สามารถเอาไปพันโลกได้ถึง 2.5 รอบ!
- สีน้ำเงินและเขียวเป็นสีที่คนชอบใช้มากที่สุด
- กว่า 47% ของชาวสหรัฐค้นหาชื่อตัวเองบน
Google
- ว่ากันว่า ถ้ามีคนหน้าบูดทุกๆสองพันคน จะมีช็อกโกเลตผลิตมาหนึ่งแท่ง
- ปลาวาฬสีน้ำเงินในมหาสมุทรแปซิฟิกกับแอนตาร์กติกมีสำเนียงเสียงต่างกัน
- เรารู้ว่ามีแต่ช้างที่กระโดดไม่ได้ แต่มีใครเคยเห็นมดมันกระโดดบ้าง
- การดื่มแอลกอฮอลล์เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคอ้วนถึง 46%
- จระเข้ก็มีลิ้น แต่มันไม่สามารถแลบลิ้นได้
- กีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งที่ 29 มีอีกชื่อว่า มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ
- กีฬาโอลิมปิกแบ่งเป็นฤดูร้อนและฤดูหนาว
- โอลิมปิกครั้งที่ 29 นี้มีการแข่งกีฬาทั้งหมด 28 ชนิด เพื่อชิงเหรียญทอง 302 เหรียญ
- โอลิมปิกครั้งที่ 29 นี้ทางเจ้าภาพได้จัดเตรียมเหรียญกว่าหกพันเหรียญไว้แจกแก่นักกีฬา
- ธนาคารจีนได้ทำธนบัตรสิบหยวนซึ่งด้านหลังมีรูปสนามกีฬารังนก เป็นจำนวนหกล้านฉบับ
- การลอยกระทงเป็นประเพณีของศาสนาพราหมณ์ - ปลาหมึกมีหัวใจสามดวง
- กว่า 90% ของคนทั่วโลกนั้น เป็นคนแบบที่ตนเองเกลียด
- ภาพยนต์แนวแอคชั่นแทบทุกเรื่องตัวเอกจะไม่เคยแพ้ หากแต่สู้ตอนแรกๆจะเสียเปรียบก่อน
- การที่โดนฟันบริเวณลำตัวแล้วเลือดพุ่งออกมาจากปากนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
- คนที่ผูกคอตายจะฉี่ราดก่อนตาย...
- ตามปรกติคนเราใช้แรงได้แค่ 30% แต่หากอยู่ในภาวะลืมตัวจะสามารถใช้แรงทั้ง 100% ได้
- การประท้วงในต่างประเทศนั้น เค้าต้องขออนุญาติกับทางรัฐฯก่อน แล้วทางรัฐฯจะจัดเตรียมสถานที่ และกำหนดเวลาที่ประท้วงได้ให้ - กว่า 80% ของม็อบที่ประท้วงในไทยเป็นชาวอีสาน
- คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์มีเชื้อโรคมากกว่าโถสุขภัณฑ์ในห้องน้ำสาธารณะ 10 เท่า!
- ไม่มีโฆษณาชุดใดในโลกที่จะไม่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย - เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะกลั้น(หาย)ใจตายได้
- ไมเคิล เฟล มีแขนยาวเลยหัวเข่า - เก๋ ประภาวดี มีหัวใจอยู่ด้านขวา
- ไม่มีขนมกรุบกรอบใดๆ ที่ไม่ใส่ผงชูรส - หยก บูรพาชอบทุเรียนมาก
- น้ำผสมขี้เถ้าใช้ล้างจานได้ แถมยังสะอาดซะด้วย
- ม้าลายมีลายเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายให้สมดุล
- ทรายแบบแห้งจะหนักกว่าทรายแบบเปียก
- แสงอาทิตย์ ประกอบไปด้วย
1. รังสีอินฟราเรด 53%
2. รังสี UV 3%
3. แสงสว่าง 44%
- แสงสว่างของโทรศัพท์มือถือในห้องมืด จะมีความสว่างเท่าดวงอาทิตย์ 2 ดวง
- โชเฟอร์แท็กซี่ในสหรัฐฯ จะมีความจำดีกว่าคนทั่วไป 3 เท่า
- ในหนึ่งเดือนผมของคนเราจะยาวแค่ 13 มิลลิเมตรเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เมโสโปเตเมีย

เมโสโปเตเมีย (กรีก: Μεσοποταμία : เมโสโปตาเมีย; ภาษาอังกฤษ: Mesopotamia) เป็นคำกรีกโบราณ ตามรูปศัพท์แปลว่า "ที่ระหว่างแม่น้ำ" โดยมีนัยหมายถึง "ดินแดนระหว่างแม่น้ำ แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส" เมโสโปเตเมีย (meso=กลาง,potamia=แม่น้ำ)ดินแดนดังกล่าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ "ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์" ซึ่งเป็นดินแดนรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ ที่ทอดโค้งขึ้นไปจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจรดอ่าวเปอร์เซีย
เมโสโปเตเมีย เป็นดินแดนที่อากาศร้อนและกันดารฝน น้ำที่ได้รับส่วนใหญ่เป็น น้ำจากแม่น้ำที่มาจากหิมะละลายในภาคฤดูร้อนบนเทือกเขาในอาร์มิเนีย(Armenia) น้ำจะพัดพาเอาโคลนตมมาทับถมชายฝั่งทั้งสอง ทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก การเอ่อล้นของน้ำอันเกิดจากหิมะละลายไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนและบางครั้งทำความเสียหายแก่บ้านเมือง ไร่นา ทรัพย์สินและชีวิตผู้คน การกสิกรรมที่จะได้ผลดีในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต้องอาศัยระบบ
การชลประทานที่มีประสิทธิภาพ
ความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มแม่น้ำเป็นเครื่องดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาทำมาหากินในบริเวณนี้ แต่ความร้อนของอากาศก็เป็นเครื่องบั่นทอนกำลังของผู้คนที่อาศัยอยู่ทำให้คนเหล่านั้นขาดความกระตือรือร้น เมื่อมีพวกอื่นเข้ารุกรานจึงต้องหลีกทางให้ผู้ที่เข้ามาใหม่ ซึ่งเมื่ออยู่ไปนาน ๆ เข้าก็ประสบภาวะเดียวกันต้องหลีกให้ผู้อื่นต่อไป พวกที่เข้ามารุกรานส่วนใหญ่มักจะมาจากบริเวณหุบเขาที่ราบสูงทางภาคเหนือ และตะวันออกซึ่งส่วนใหญ่เป็นเขาหินปูนไม่อุดมสมบูรณ์เท่าเขตลุ่มแม่น้ำ และยังมีพวกที่มาจากทะเลทรายซีเรียและอารเบีย เรื่องราวของดินแดนแห่งนี้จึงเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับอารยธรรมของคนกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่มมิได้เป็นเรื่องราวของอารยธรรมที่สืบต่อกันเป็นเวลายาวนานดังเช่นอารยธรรมอียิปต์
คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาว
ประวัติชน [ต้องการอ้างอิง] ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนขึ้นเป็น พื้นฐานสำคัญ ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยธรรม ตัวอักษร ศิลปกรรมอื่นๆ ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ

แผนที่บริเวณเมโสโปเตเมีย
[
แก้] กลุ่มชนต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ชาวสุเมเรียน
ชาวอัคคาเดีย (Akkadians)
ชาวอมอไรต์ (Amorites)
ชาวแอสซีเรียน (Assyrian)
ชาวคาลเดียน (Chaldeans)
[
แก้] ลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
เมโสโปเตเมีย เป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมัยโบราณ โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ
แม่น้ำไทกรีส (Tigris) และ แม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates)ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของ ประเทศอิรัก ซึ่งมีกรุงแบกแดด เป็นเมืองหลวง แม่น้ำทั้ง 2 สายมีต้นน้ำอยู่ในอาร์มีเนีย และเอเซียไมเนอร์ไหลลงสู่ทะเลที่อ่าวเปอร์เซีย
บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ตอนล่างเรียกว่า
บาบิโลเนีย (Babylonia) เป็นเขตซึ่งอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย มีชื่อเรียกในสมัยหนึ่งว่าชินาร์ (Shina) เกิดจากการทับถมของดินที่แม่น้ำพัดพามากล่าวคือในฤดูร้อนหิมะบนภูเขาในอาร์มีเนียละลายไหลบ่าลงมาทางใต้พัดพาเอาโคลนตมมาทับถมไว้ยังบริเวณปากน้ำทำให้พื้นดินตรงปากแม่น้ำงอกออกทุกปี โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 1 ไมล์ครึ่ง ทุกๆ ศตวรรษ ( ประมาณปีละ 29 นิ้วครึ่ง) อาณาบริเวณที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย มีทิศเหนือจรดทะเลดำ และทะสาบแคสเบียน ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งล้อมรอบด้วยทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย ทิศตะวันตกจรดที่ราบซีเรีย และปาเลสไตน์ ส่วนทิศตะวันออกจรดที่ราบสูงอิหร่าน
เมโสโปเตเมียแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนล่างใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย มีความอุดมสมบูรณ์เรียกว่าบาบิโลเนีย (Babylonia)ส่วนบนซึ่งค่อนข้างแห้งแล้งเรียกว่าแอสซีเรีย (Assyria) บริเวณทั้งหมดมีชนชาติหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ มีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ เมื่อชาติใดมีอำนาจก็เข้าไปยึดครองและกลายเป็นชนชาติเดียวกัน นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า ไม่มีแห่งหนตำบลใด จะมีชาติพันธุ์มนุษย์ผสมปนเปกันมากมายเหมือนที่นี่ และยังเป็นยุทธภูมิระหว่างตะวันตก กับตะวันออกตลอดสมัยประวัติศาสตร์ ดังนั้น ประวัติเรื่องราวต่างๆ ของชนชาติเหล่านี้จึงค่อนข้างสับสน

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฟุตบอลโลก

ถ้วยรางวัลชูลส์รีเมต์ ถ้วยรางวัลชนะเลิศฟุตบอลโลก ตั้งชื่อตามประธานฟีฟ่า ชูลส์ รีเมต์ เริ่มใช้ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1930-ฟุตบอลโลก 1974ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโลกฟีฟ่า (FIFA World Cup) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศโดยทีมฟุตบอลชายร่วมเข้าแข่ง จัดการแข่งขันโดยฟีฟ่า (ฟีฟ่ายังคงเป็นผู้จัด ฟุตบอลโลกหญิงเช่นกัน) ฟุตบอลโลกเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2473 ใน ฟุตบอลโลก 1930 และจัดต่อเนื่องมาทุก 4 ปี ยกเว้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1942, 1946)

ภายหลังจากการแข่งขันรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะประกอบด้วยทีมชาติ 32 ทีม (เพิ่มจาก 24 ทีมเป็น 32 ทีมใน ฟุตบอลโลก 1998) ร่วมแข่งขันกันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน และได้ชื่อว่าเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยใน ฟุตบอลโลก 2002 มีสถิติผู้ชมประมาณ 1,100 ล้านคนทั่วโลก

เมื่อจบการแข่งขันจะมีการมอบรางวัลต่างๆ สำหรับนักฟุตบอลยอดเยี่ยม ดูได้ที่ รางวัลฟุตบอลโลก

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งต่อไปฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล ในปี พ.ศ. 2557

ผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลก

ฟุตบอลทีมชาติบราซิล - 1958, 1962, 1970, 1994, 2002 (5 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี - 1934, 1938, 1982, 2006 (4 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี - 1954, 1974, 1990 (3 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา - 1978, 1986 (2 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย - 1930, 1950 (2 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ - 1966 (1 ครั้ง)
ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส - 1998 (1 ครั้ง)

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เทคนิคการจำ

“บางสิ่งที่อยากจำเรากลับลืม บางสิ่งที่อยากลืมเรากลับจำ คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขัน อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ”

เป็นท่อนฮุกของบทเพลงของ เดอะฮอท เปปเปอร์ ซิงเกอร์ นักร้องสาวดูโอที่เคยโด่งดังมากในอดีตเมื่อสมัยดิฉันเป็นวัยรุ่น เชื่อว่าหลายๆ ท่านก็เคยโดนใจและเห็นด้วยกับประโยคที่ว่านั่นกันมาบ้างแล้ว



ตอนฟังบทเพลงๆ นั้นยังจำได้ว่าเห็นด้วยและชื่นชอบจัง
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ “จำ” บทเพลงนั้นได้จนถึงทุกวันนี้

เพียงแต่วันนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเราอยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ...!!
เพราะมันเกี่ยวข้องกับสมองโดยตรงของเรานั่นเอง
สมองคนเรามีความจำแบบไหน ?
แบบที่มีการจำอัตโนมัติ มีทั้งการจำผ่านการท่องซ้ำๆ และมีการจำแบบมีเรื่องราว เหตุการณ์ รวมถึงจำแบบมีการเชื่อมโยง

ส่วนเรื่องที่คนเรามักจะจดจำมีเรื่องอะไร แบ่งคร่าวๆ ในเรื่องหลักๆ ได้ดังนี้
- จำภาษา คำพูด
- จำบุคคล สถานที่ ตัวเลข
- จำเหตุการณ์เรื่องราว

แต่...ก่อนที่คนเราจะเกิดความจำขึ้นมาได้ ต้องมีการรับข้อมูลต่างๆ ก่อน

เริ่ม จากเมื่อมีข้อมูลผ่านเข้ามาในสมอง ข้อมูลจะถูกส่งไปที่สมองส่วนกลาง (ธาลามัส) ซึ่งทำหน้าที่เป็นโอเปอร์เรเตอร์ในสมอง และจะคอยส่งข้อมูลไปยังสมองส่วนต่างๆ เช่น ถ้ามองเห็นภาพ ก็จะส่งไปยังสมองส่วนรับภาพ และถ้าเป็นการฟัง ก็จะส่งต่อไปยังส่วนการรับฟัง ฯลฯ

และเมื่อกระบวนการ ส่งข้อมูลถูกต้องครบถ้วน สมองที่ทำหน้าที่หลักเกี่ยวกับความจำคือ ฮิปโปแคมปัส และอะมิกดาลา จะรับช่วงต่อว่าจะจัดการข้อมูลนั้นๆ อย่างไร

ถ้า ข้อมูลที่เป็นเรื่องราวปกติ ฮิปโปแคมปัสจะเก็บไว้จนกว่าจะถูกลำเลียงเข้าไปอยู่ในความทรงจำระยะยาวบริเวณ สมองส่วนหน้า และจัดเข้าไปอย่างเป็นระเบียบเพื่อจะนำไปใช้ในอนาคต

แต่ถ้าเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เป็นหน้าที่ของอะมิกดาลา

ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) อยู่ลึกเข้าไปในสมองส่วนขมับ ทำหน้าที่จัดกระบวนความรู้ที่ปรากฏจริงรอบๆ ตัวเรา มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดเก็บข้อมูลจากความทรงจำระยะสั้น เข้าไปเก็บไว้ระบบ ความทรงจำระยะยาว ซึ่งเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่จะนำไปใช้ตลอดชีวิต

การ จัดเก็บความทรงจำในเด็กอายุก่อน 10 ปี จะเกิดขึ้นในขณะเด็กหลับ จึงเป็นเหตุผลว่าเด็กควรได้นอนเต็มที่อย่างน้อย 9-10 ชั่วโมงต่อวัน

อะมิกดาลา (Amygdala) อยู่บริเวณสมองส่วนกลาง เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ โดยเฉพาะความรู้สึกพื้นฐาน เช่น ความกลัว ความก้าวร้าว ทำหน้าที่จัดระบบด้วยความรู้สึก

ในช่วงวัยรุ่นจะใช้สมองส่วนนี้มาก จึงไม่แปลกถ้าวัยรุ่นจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

และ นั่นหมายรวมไปถึงว่า เหตุใดเวลามีเรื่องราวประทับใจ หรือมีเรื่องเศร้ากระทบกระเทือนจิตใจ เราจึงสามารถจดจำได้ดี ก็เพราะสมองส่วนนี้ทำงานนั่นเอง

ฉะนั้น การที่จะทำให้เด็กมีความจำที่ดี พ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่ามีส่วนสัมพันธ์กับสมอง เด็กจะมีความจำดีได้ ต้องเริ่มจากการรับข้อมูล และมีกระบวนการเรียนรู้เบื้องต้นที่ดีก่อน

และ...การรับข้อมูลที่ดีที่สุด คือ รับผ่านประสาทสัมผัส

การ เรียนรู้จะเกิดได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อมีการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ เพื่อให้เซลล์ประสาทในสมองรับความรู้สึกต่างๆ ทั้งการมองเห็นภาพ ได้ยินเสียง รับรู้กลิ่น ได้รับความรู้สึกทางผิวหนัง ความรู้สึกที่ได้รับจะถูกส่งไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ในสมอง

เมื่อสมองทำการกรองจัดลำดับความสำคัญแล้วก็จะถูกบันทึกไปยังส่วนความจำ

ฉะนั้น การให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสอย่างสม่ำเสมอ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกในขณะที่เรียนรู้เป็นด้านบวก ก็จะยิ่งทำให้ความทรงจำที่ดีเข้าไปประทับอยู่ในสมองเด็กมากขึ้น

ยิ่ง ถ้าวัยขวบปีแรก เด็กได้รับการรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสในด้านบวกอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เด็กทีแนวโน้มมีความจำที่ดีเมื่อโตขึ้น

การ มีความจำที่ดี นอกจากผู้ใหญ่ต้องส่งเสริมให้เด็กได้ประสบการณ์ต่างๆ แล้ว ยังต้องขึ้นกับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ด้วย เด็กควรได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างเพียงพอเหมาะกับวัย และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ รวมถึงสภาวะจิตใจที่พร้อมด้วย

แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของคน เป็นพ่อแม่ที่มีลูกเล็กมักจะมีคำถามเรื่องความจำที่เอนไปเกี่ยวข้องกับ เรื่องการเรียนเป็นส่วนใหญ่ เช่น ลูกเรียนหนังสือแล้วมักจำไม่ค่อยได้ ต้องท่องจำซ้ำๆ บ่อยๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงต้องฝึกเรื่องการจำโดยการรับข้อมูลตั้งแต่วัยทารก ไม่ใช่ฝึกเมื่อตอนเข้าโรงเรียน

ที่สำคัญ คนเป็นพ่อแม่ต้องเข้าใจด้วยว่า เด็กบางคนเรียนวิชาท่องจำ ทำได้ดี ในขณะที่เด็กบางคนไม่ถนัดเรื่องการท่องจำ แต่ชอบเรื่องการทำความเข้าใจ ก็เพราะมีความแตกต่างในเรื่องของสมอง แต่ถ้าเด็กบางคน ขยันหมั่นท่องจำบ่อยๆ ซ้ำๆ ท้ายสุดก็สามารถจำได้

และ นั่นหมายความว่า ต้องกลับไปดูตั้งแต่การรับข้อมูลของเด็กด้วยว่า เป็นอย่างไร แล้วเหตุใดต้องมีเทคนิคเกี่ยวกับความจำ โดยสังเกตดูว่าลูกเราเรามีความถนัดในเรื่องใด การจะเสริมให้ลูกมีความจำที่ดีก็สามารถทำได้

เทคนิคเสริมสร้างความจำให้ลูก ?

หนึ่ง – ให้ลูกรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสให้ได้มากที่สุด และเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้

สอง – ฝึกฝนการจำแบบท่องจำ เพราะบางเรื่องราวต้องอาศัยการท่องจำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน โดยเฉพาะบรรดาสูตรต่างๆ ที่ต้องอาศัยการท่องจำซ้ำๆ บ่อยๆ

สาม – ฝึกให้ลูกจดจำเรื่องราวเป็นเหตุการณ์ จะทำให้จดจำง่ายกว่าการจำเป็นท่อนๆ แต่ให้จำด้วยเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ เช่น “ลูกจำได้ไหม เราเคยไปในสถานที่นี้ด้วยกัน แล้วตอนนั้นลูกทำอะไรนะ ที่ทำให้ลูกได้ขนมเป็นรางวัล”

ข้อนี้อาจจะต้องใส่รายละเอียดให้จดจำเรื่องราวดีๆ ในทางบวก จะช่วยกระตุ้นความจำได้ดีขึ้น

สี่ – จำแบบซับซ้อนมากขึ้น ด้วยการสังเกตว่าลูกถนัดในเรื่องใด เช่น ลูกจำตัวเลขเก่ง ก็พยายามเชื่อมโยงเรื่องราวนั้นๆ ด้วยตัวเลข ก็จะทำให้ลูกจดจำเรื่องนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น

การสอนให้ ลูกมีความจำที่ดี ต้องเริ่มสร้างตั้งแต่เล็ก เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นสมองแห่งการเรียนรู้ของลูก โดยจะเชื่อมต่อมาจากการรับรู้ ถ้าการรับรู้ในเบื้องต้นดีแล้ว กระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงไปสู่สมองก็จะเป็นระเบียบ และทำให้เด็กสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

จริงๆ เรื่องสอนให้ลูกมีความจำที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้ทั่วไป

1. ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ เฉลย : จริง โดยใช้ไข่ขาวมาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

2. ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ เฉลย : จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมดแล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

3. ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ เฉลย : จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น

4. ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ เฉลย : จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน

5. มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ เฉลย : ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป

6. พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ เฉลย : จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้

7. เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้ เฉลย : จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น

8. เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ เฉลย : จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกรียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น

9. นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ เฉลย : จริง โดยให้หย่อนเหรีย­สลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา

10. ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ เฉลย : จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆเพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"You are what you eat." ยังเป็นคำกล่าวที่ใช้ได้ทุกสมัย คนเรากินอะไรเข้าไปก็ได้ผลลัพธ์อย่างนั้น และอาหาร 7 ชนิดต่อไปนี้ นอกจากจะอิ่มอร่อยแล้วยังช่วยลดความเครียดได้ด้วย
ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ และวอลนัท
รับประทาน เป็นประจำเพียงวันละ 1 กำมือ จะได้รับวิตามินอีในปริมาณเพียงพอที่จะไปช่วยเสริมภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ทั้งยังมีวิตามินบีที่ช่วยรับมือกับความเครียด ความตื่นเต้น หรือเป็นกังวลได้อีกด้วย หากต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียด หรือน่าตื่นเต้นอย่าลืมให้ถั่วเปลือกแข็งเป็นตัวช่วยนะคะ
อะโวคาโด
ผลไม้สี เขียวเนื้อนุ่มเนียน อันเป็นแหล่งอุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและ โพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดความกังวลและความกระวนกระวายได้อย่างดี ทราบหรือไม่ว่า อะโวคาโดเพียงครึ่งผลนั้นให้โพแทสเซียมมากถึง 487 มิลลิกรัม ซึ่งมากพอสำหรับความต้องการในแต่ละวัน
นมขาดมันเนย
คงเคยทราบกันว่า การดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้วก่อนนอนช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ และคลายความเมื อยล้าได้ เพราะแคลเซียมในน้ำนมจะส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัว และลดอาการปวดตึง ผู้เชียวชาญจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า นมขาด-มันเนย 1แก้วช่วยลดอาการผิดปกติในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือนได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แปรปรวน เครียด หงุดหงิดง่าย หรือขาดสมาธิ เป็นต้น
ข้าวโอ๊ตหรือข้าวกล้อง
แหล่งพลังงานคาร์โบไฮเดรตและใยอาหารชั้นเยี่ยม คาร์โบไฮเดรตช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขที่ชื่อ เซโรโทนิน ทุกครั้งที่คุณกินแป้ง สารแห่งความสุขตัวนี้ก็จะค่อยๆ หลั่งออกมา แต่ในการรับประทานข้าวโอ๊ต และข้าวกล้อง สิ่งที่คุณจะได้รับนอกจากสารแห่งความสุขแล้วก็คือใยอาหารทีมีส่วนช่วยใน การขับถ่ายนั่นเอง
ส้ม
แหล่งอุดมวิตามินซี มีรายงานวิจัยจาก ประเทศเยอรมนีว่าการบริโภควิตามินซีวันละ 3,000 มิลลิกรัมช่วยลดระดับคอร์ติซอลหรือ ฮอร์โมนเครียดให้เข้าสู่ระดับปกติได้อย่างรวดเร็ว วันใดที่คุณเครียดลองกินส้มดูนะคะ   
ปลาแซลมอน
กรดไขมันโอ เมก้า - 3 ที่มีอยู่มากมายในเนื้อปลาแซลมอนเป็นศัตรูตัวฉกาจของฮอร์โมนเครียด เพราะทำหน้าที่กักเก็บไม่ให้ความเครียดไหลพุ่งออกมาเหมือน น้ำพุ ทั้งยังช่วยบำรุงหัวใจด้วย มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า ควรรับประทานปลาแซลมอนครั้งละ ประมาณ 100 กรัม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้สุขภาพดีและไม่เครียดค่ะ
ผักโขม
เต็มไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยลดระดับความเครียด หากเราขาดแมกนีเซียมจะทำให้ปวดศีรษะคล้ายไมเกรน และอ่อนเพลีย ผักโขมเพียง 1 ถ้วยตวงมีปริมาณ แมกนีเซียมมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน อย่าลืมให้ผักโขมอยู ่ในเมนูอาหารมื้อต่อไปนะคะ

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หมวดกินเพื่อสุขภาพ

1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ เฉลย : ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้

2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ เฉลย : จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้

3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำจริงหรือ เฉลย : จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่าโรคนอนหลับ ได้อีกด้วย

4. ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ เฉลย : ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร

5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ เฉลย : ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพัก หนึ่ง

6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ เฉลย : จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น

7. กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ เฉลย: จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย

8. การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ เฉลย : จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล

9. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ เฉลย: จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่ บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเล?อดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย

10. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ เฉลย: จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลงสมองจึงค่อยๆเสื่อม

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสุขภาพ

- สำหรับผู้ที่ชอบดื่มเหล้า ควรรับประทานวิตามินบี 1 และวิตามินซี ให้มาก วิตามินบี 1 จะช่วยให้การทำงานของตับดีขึ้น และวิตามินซีจะช่วยลดอาการเมาค้าง เวลาดื่มเหล้า ควรรับประทานกับแกล้มจำพวกไข่แดงและถั่วต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินทั้งสองชนิด เพื่อจะได้ไม่ต้องหาวิตามินเสริม

- ดื่มนมสดรองท้อง ก่อนที่จะไปงานสังคม เมื่อดื่มวิสกี้ จะไม่เมามาก หรือเมื่อตื่นเช้ายังรู้สึกเมาค้างให้ดื่มนมสดสักแก้ว จะช่วยให้อาการเมาค้างหายไปได้

- วิตามินบี 6 มีมากในเนื้อวัว เนื้อเป็ด ไก่ ปลา หอย ตับ รำข้าว ผักกาดขาว แคนตาลูป น้ำนม วิตามินบี 6 นี้จะช่วยป้องกันความผิดปกติของผิวหนังและประสาททุกชนิด

- ก้างติดคอ ให้กลืนข้าวสุก หรือขนมปังนิ่ม ๆ ถ้ายังไม่หลุดให้กลืนน้ำส้มสายชูอย่างเจือจาง จะช่วยให้ก้างอ่อน ถ้ายังไม่ออก ควรไปพบแพทย์

- ใช้น้ำกระเทียมทาตรงที่มีรอยดำ จะทำให้จุดดำบนผิวหนังหายไปได้

- ใช้สำลีชุบน้ำส้มสายชูทารักแร้ หลังจากอาบน้ำแล้วจะช่วยระงับกลิ่นตัวได้

- ไปอาบน้ำทะเล อย่าลืมนำน้ำส้มสายชูไปด้วย ถ้าถูกแมงกะพรุนไฟ ให้ราดด้วยน้ำส้มสายชู จะบรรเทาความแสบร้อน

- ปวดประจำเดือน ให้ดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน ๆ แล้วแช่เท้าในอ่างน้ำร้อนที่ร้อนพอทนได้ จะช่วยให้หายปวดได้

- หนามตำมือหรือโดนเสี้ยน ให้ใช้ข้าวบดเละ ๆ พอกหรือใช้เผือกต้มสุกบดละเอียดพอก หนามหรือเสี้ยนจะหลุดออกมาเอง

- ผู้ที่รับประทานสีสังเคราะห์เข้าไปมาก จะทำให้เป็นอัมพาต อ่อนเพลีย ท้องเดิน ถ้าหลีกเลี่ยงเสียได้ เป้นการดี ควรนำสีจากธรรมชาติที่ได้จากพืชผักผลไม้มาทำอาหาร เช่นสีเหลืองจากขมิ้น สีแดงจากกระเจี๊ยบ สีดำจากถั่วดำ สีน้ำตาลจากน้ำตาลไหม้ เป็นต้น

- เมื่อหาน้ำเดือดและยาฆ่าเชื้อไม่ได้ น้ำจากกระบองเพชรล้างแผล สามารถหยุดเลือดจากแผลได้ ใช้มีดสะอาดตัดกระบองเพชรเป้นแผ่นกลม วางกดลงบนปากแผล แล้วใช้ผ้ามัดเอาไว้ ทอ้งไว้สามชั่วโมง ล้างแผลด้วยน้ำต้มสุกกับสบู่ เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยรักษาบาดแผลเมื่ออยู่ไกลหมอ

- ก่อนมีประจำเดือน ผู้หญิงจะรู้สึกหงุดหงิด น้ำหนักเพิ่ม ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลง รู้สึกเหมือนกับอ้วนขึ้น แต่นั่นเป็นเรื่องธรรมดา บรรเทาได้ด้วยการรับประทาน วิตามินบี และวิตามินรวม วิตามินบี อาจทำให้ปัสสาวะบ่อยเพราะเข้าไปไล่น้ำออกจากไต แต่มีประโยชน์สำหรับผู้หญิงทุกวัย

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้ทั่วไป

นี่คือคำแนะนำเพื่อความจำที่ดีขึ้น
1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆสามวๆนั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์
2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆให้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้น
3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุดก็คือจดทุกอย่างลงในกระดาษ เขียนไว้กันลืม สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถึงแม้ว่าหยดหมึกที่จางที่สุดก็จะอยู่ได้นานกว่าความจำที่ว่าแม่นที่สุด
4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอนะ ที่จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆละก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆเข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆเข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆที่เราคุ้นเคย
6. ฝึก..ฝึก..ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูสิว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่ยังเด็กล่ะ
7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆหรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน
8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มันมักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ จะเชื่อมั้ยล่ะ ถ้าบอกว่าวิธีเปิดฝากระป๋องแบบดึงขึ้นนั้นน่ะ ต้นตอมาจากการปลอกเปลือกกล้วยนั่นเอง
9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..แล้วคำโบราณที่บอกว่าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลนั่นน่ะมันเป็นความจริง การที่เราได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ
10. เลียนแบบลีโอนาโด..หมายถึง ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด
11. เอาใจใส่ เคยมั้ยที่เวลาได้เจอใครๆกลับจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ที่เป็นปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น
12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้
13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย
14. ลองทำสิ่งใหม่ๆจะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ
15 ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด ขึ้นป้าย Don't Disturb! ติดไว้ข้างตัว เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ทำไมนกที่อาศัยอยู่ในน้ำจึงไม่จมน้ำ

นกที่อาศัยอยู่ในน้ำหรือนกน้ำนั้น บริเวณส่วนกลางของโคนหางของมัน จะมีต่อมสำหรับผลิตน้ำมันอยู่ปกตินกจะใช้ส่วนหัวและส่วนปาก ไซ้เอาน้ำมันจากส่วนนี้ไปทาให้ทั่วบริเวณขนอยู่เสมอ ทำให้ขนนกอาบด้วยไขมัน ขนนกจึงไม่เปียกน้ำ และระหว่างขนนกก็ยังมีอากาศแทรกอยู่มาก ดังนั้นนกจึงลอยตัวอยู่ได้แต่ถ้ามีเหตุให้ขนนกต้องโดนน้ำมันดิบ ก็จะทำให้ขนนกไม่สามารถอุ้มอากาศได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นกจมน้ำตาย ซึ่งมักปรากฎอยู่เสมอเมื่อมีการรั่วไหลของน้ำมันลงสู่ทะเล และการเสียชีวิตของนกน้ำจำนวนมากพบว่า สาเหตุมาจากพิษของน้ำมันที่ไหลลงสู่ทะเล

วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553

เตือนภัย : ต่อเน็ตระวังจ่ายค่าทางไกลพุ่ง

สำหรับการใช้บริการ อินเตอร์เน็ตนั้น ปัจจุบันยังมีผู้บริโภคจำนวนมากนิยมใช้วิธีการซื้อชั่วโมงอินเตอร์เน็ตตาม ร้านสะดวกซื้อ ส่วนใหญ่เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์ในระบบ Dial up ปัญหาการใช้บริการดังกล่าวที่ สบท.พบ และมีการร้องเรียนจากประชาชนคือ การ ที่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการไม่ทราบว่า การเชื่อมต่อเน็ตผ่านโทรศัพท์ในระบบ Dial up นั้น ถ้าโทร.ข้ามจังหวัดต้องเสียค่าบริการในราคาเท่า กับค่าโทรศัพท์ทางไกล โดยเสียตามระยะเวลาเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย

ทั้งนี้ จากการสำรวจของเอแบคโพลล์พบผลตรงกันคือ ผู้บริโภคร้อยละ 70 ไม่ทราบว่า ในการเชื่อมต่อเน็ตแบบ Dial up ใช้หมายเลขโทรศัพท์ข้ามพื้นที่จะต้องเสียค่าบริการในลักษณะเดียวกับการ โทร.ทางไกล กว่าผู้บริโภคจะรู้ตัวก็ตอนถูก

เรียกเก็บเงินไปแล้ว ซึ่งค่าใช้ จ่ายดังกล่าวจะคิดตามอัตราค่าโทร.ทางไกลและเท่ากับระยะเวลาการใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งมีผู้ใช้บริการหลายคนก็เปิดทิ้งไว้โดยไม่ใช้ตลอด นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ต้องจ่ายค่าบริการสูงมาก ทั้งที่ใช้งานไม่มาก

จากกรณีศึกษาที่เกิดขึ้น ทาง สบท. ได้ ให้ข้อมูลว่า เป็นปัญหาที่เกิดจากการให้ข้อมูลบนฉลากที่ไม่ชัดเจนและไม่ครบถ้วน รวมทั้งไม่มีข้อความเตือนหรือแจ้งข้อควรระวังบนหน้าซอง ซึ่งปัญหาของฉลากที่ไม่ชัดเจนขณะนี้พบอยู่ 2 ลักษณะ ที่พบทั่วไปคือ บนซองซื้อชั่วโมง อินเตอร์เน็ตมักระบุเขตให้บริการเป็นภาคก่อนตามด้วยจังหวัด

เช่น เขตพื้นที่ให้บริการภาคเหนือ เชียงใหม่เบอร์ 053... เชียงราย เบอร์ 053... หรือเขตพื้นที่ให้บริการภาคกลาง อยุธยาเบอร์ 035... อ่างทอง เบอร์ 035... ปัญหาในกรณีนี้ก็คือทำให้ผู้บริโภคอาจเข้าใจว่า การบริการในระดับพื้นที่ไม่มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีบางจังหวัดใช้เลขรหัสทางไกลเดียวกัน ดังกรณีที่ยกตัวอย่างไป เมื่อผู้บริโภคโทร.เบอร์ในจังหวัดตนเองไม่ ได้ก็อาจทดลองโทร.ไปยังเบอร์จังหวัดใกล้เคียงที่เห็นว่าเป็นเลข รหัสเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าโทร.ทาง ไกลในจำนวนเท่ากับชั่วโมงที่ตัวเองใช้บริการอินเตอร์เน็ต

เด็กดีดอทคอม :: เตือนภัย :  ต่อเน็ตระวังจ่ายค่าทางไกลพุ่ง; tags: วัยรุ่น, ช้อปปิ้ง, สั่งซื้อ,  สินค้า, อินเตอร์เน็ตเตือนภัย : ต่อเน็ตระวังจ่ายค่าทางไกลพุ่ง

ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ การที่ บนซองอินเตอร์เน็ตบอกเบอร์ที่ขึ้นด้วยรหัส 02 ไว้ พร้อม ระบุเพียงว่า "New connection number" หรือ "เบอร์สะดวกในการต่อ อินเตอร์เน็ต" โดยไม่มีข้อความเตือน หรือข้อควรระวังว่า เบอร์ดังกล่าวเป็นเบอร์ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล หากเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากเบอร์บ้านในต่างจังหวัดจะต้องเสียค่าโทร. ทาง ไกลตามอัตราของผู้ให้บริการ

ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนี้ มีผู้ใช้บริการร้องเรียนมาที่ สบท. เนื่องจากถูกเรียกเก็บเงินค่าโทรศัพท์เป็นเงิน เกือบสองหมื่นบาท ซึ่งผู้ใช้บริการเป็นชาวต่างประเทศที่อาศัยอยู่ที่จังหวัดสงขลา เมื่อพบข้อความบนซองที่โฆษณาเบอร์ 02 ดัง กล่าวจึงเลือกใช้บริการโดยตลอด ทำให้ถูกเรียกเก็บค่าโทรศัพท์ทางไกลดังกล่าว

เห็นรึเปล่าคะว่า แค่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเท่านั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใช้บริการมากมายหลายคนเลยทีเดียวล่ะค่ะ เห็นทีต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องกันซะแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องจ่ายค่าอินเตอร์เน็ตกันไม่หวั่นไม่ไหวเลยล่ะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ ปล่อยผมช่วยคลายเครียด…

การ ที่มัดผมบ่อย ๆ นั้นเป็นการทำร้ายผมโดยตรง ซึ่งบางครั้งสารเคมีเหล่านี้จะสะสมในร่างกายและอาจเกิดรุมเร้าตามมาที่หลัง แม้กระทั่งการที่มัดหรือผูกผมก็เช่นกัน ผม ที่ถูกมัดจนตึง มักจะทำให้เรารู้สึกมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยเป็นประจำ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะนั่นเอง โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่
ผู้หญิงที่ ชอบมัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ เป็นเพราะชอบไว้ผมยาวแต่ไม่ชอบปล่อยผม ทำงานที่ไม่สะดวกต้องการความกระชับ ทำงานกลางแจ้งหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก จึงมีความจำเป็นต้องมัดผม อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรัง และทำให้เกิดโรคเครียดตามมาอย่างคาดไม่ถึง
เนื่องจากการรัดผม คาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ ทำให้หนังศีรษะถูกเหนี่ยวรั้งมากขึ้น นอกจากจะทำให้หน้าผากกว้างมากขึ้น ยังทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้ง่าย เพราะรากผมถูกทำลายจากแรงดึงแล้ว ยังทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะไม่สะดวก นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังและโรคเครียดได้อย่างง่ายดาย
เพราะ ปกติผู้หญิงทำงานต้องแบกรับความเครียดอย่างมากอยู่แล้วในแต่ละวัน หากหันมาปล่อยผมให้สบาย ๆ บ้าง เลือดจะได้ไหลไปเลี้ยงสมองได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความเครียดและอาการปวดตึง บริเวณศีรษะและท้ายทอย เนื่องจากความเครียดได้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

พลังบำบัดจากน้ำมะพร้าว

เดี๋ยวนี้มีน้ำผลไม้ให้เราเลือกดื่มมากมาย แต่รู้ไหมว่า น้ำมะพร้าวราคาถูกแสนถูกนี่แหละค่ะ ถือเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะ นอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น มะพร้าวมีลำต้นสูง ทำให้ธาตุอาหารต่างๆในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้นและผลต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้ น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว หากเปิดลูกมะพร้าว แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง (แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม) ควรกินให้หมดทีเดียว ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง ค่อยๆตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่ม น้ำมะพร้าวบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ มีประโยชน์กว่าน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่ง เพราะไม่ทำให้เกิดพิษหรือท็อกซินขึ้นในร่างกาย วันนี้คุณดื่มน้ำมะพร้าวหรือยังคะ

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ระวังเชื้อโรคจากสบู่เหลวในห้องน้ำ

ถ้าหากคุณกำลังล้างมือในห้องน้ำสาธารณะ และกำลังมองหาสบู่อยู่ล่ะก็หยุดเลยค่ะ!!! รู้ตัวหรือไม่ว่าคุณกำลังเสี่ยงกับการสัมผัสเชื้อโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว …
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่าสบู่เหลวในห้องน้ำชนิดที่ต้องเปิดฝาเติมน้ำสบู่อยู่เรื่อยๆ มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ด้วย โดยมหาวิทยาลัย อริโซนา สหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า มีการทำการวิจัยงานเพื่อหาเชื้อปนเปื้อนที่แฝงอยู่ในสบู่ในห้องน้ำสาธารณะ ทั้งร้านอาหาร ฟิตเนส อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้า

โดยการวิจัยดังกล่าวได้มีการเก็บตัวอย่างสบู่จำนวน 541 ตัวอย่าง ทั้งสบู่เหลวแบบเติมและสบู่เหลวแบบบรรจุภัณฑ์ปิด (เมื่อใช้น้ำยาหมดแล้วทิ้ง) ซึ่งพบว่า สบู่ชนิดกล่องที่ติดผนังห้องน้ำที่ต้องเปิดฝาเติมน้ำสบู่อยู่เรื่อยๆ มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่ถึงร้อยละ 25 จาก 133 ตัวอย่าง โดยร้อยละ 65 ของเชื้อที่พบคือเชื้อโคลิฟอร์ม ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบมากในสิ่งปฏิกูลของสัตว์เลือดอุ่นและมีโอกาสส่ง ผลกระทบโดยตรงต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ได้ ทั้งในระบบทางเดินหายใจ กระแสโลหิต ระบบปัสสาวะ และการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง สิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่มีการเปิดฝากล่องเพื่อเติมสบู่ แต่สบู่เหลวที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบปิดกลับไม่พบเชื้อแบคทีเรียเลย
นอกจากนี้ จากการวิจัยของวารสารสาธารณสุขอเมริกันปี 2544 พบว่า การล้างมือและเช็ดมืออย่างถูกวิธีอย่างน้อย 5ครั้งต่อวัน สามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อหวัดได้ถึงร้อยละ 45 ทั้งนี้จากการศึกษางานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า การใช้กระดาษเช็ดมือทุกครั้งหลังการล้างมือจะช่วยให้แบคทีเรียลดลงถึงร้อยละ 58 ในขณะที่การใช้เครื่องเป่าลมร้อนกลับพบแบคทีเรียในมือเพิ่มขึ้นร้อยละ 25
เห็นรึเปล่าล่ะค่ะว่าพฤติกรรมของน้องๆ หลายคนสุ่มเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคจากห้องน้ำสาธารณะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น การล้างมือด้วยสบู่เหลว การใช้เครื่องเป่าลมร้อนให้มือแห้ง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการรับเชื่อโรคทั้งนั้นเลยนะคะ รู้แบบนี้คงจะต้องระวังกันไว้บ้างซะแล้วล่ะค่ะ

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

ุ6 เคล็ดลับถนอมดวงตาเวลาใช้คอมนานๆ

สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรืออาการทางสายตาอื่นๆ กันบ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ



เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์



1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 -22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น



2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ50 - 70ซ. ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป



3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า



4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)



5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป



6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

5 วิธีเลือกที่นั่งต้านกระดูกเสื่อม



เมื่อมีอายุมากขึ้นทุกคนอาจเป็นโรคกระดูกเสื่อมได้ตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน โรคนี้อาจมาเยือนได้เร็วกว่าบุคคลอื่น ซึ่งวิธีการป้องกันหรือชะลอภาวะกระดูกเสื่อม แบบง่ายๆ นั้น ทำได้โดยการเลือกที่นั่งให้เหมาะสม 5 วิธี ดังนี้


1. ความสูงของเก้าอี้ ต้องเท่ากับช่วงยาวของขาท่อนล่าง (น่อง) ตั้งแต่ข้อพับหลังหัวเข่าลงไปถึงเท้า เพื่อจะได้วางเท้าราบพื้นพอดี


2. รูปร่างของเบาะนั่ง ต้องไม่บุ๋มเป็นแอ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้กระดูเชิงกราน (ซึ่งเป็นฐานของกระดูกสันหลังทั้งหมด) บิดงอ


3. เบาะไม่ควรอยู่ลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป หากพิงไม่ถึงและต้องเอนตัวไปด้านหลัง จะทำให้หลังงอ


4. ควรมีพนักพิง เพื่อช่วยดันหลังให้อยู่ในท่าตรงตามธรรมชาติ


5. ที่เท้าแขนอยู่ในระดับที่งอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี เพราะนอกจากใช้พักแขนและข้อศอกแล้วยังใช้สำหรับดันเพื่อยืดตัวให้ตรงขึ้นได้

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


อันดับ 1 Bigelow Aerospace, Las Vegas




เครื่องเดินอากาศ หรือ CSS Skywalker โรงแรมท่องบรรยากาศนอกโลก แต่ยังอยู่ในวงโคจรโลก เหมือนกับเป็นดาวเทียมขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง นั่นเอง ด้วยพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร และขนาดที่ใหญ่ถึง 1 แสนกิโลกรัม มีโครงสร้างของยานที่หนากว่า 18 นิ้ว ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $1 ล้านต่อคืน

อันดับ 2 Galactic Suite โรงแรมอวกาศ


จากความพยายามของ Xavier Claramunt ที่ต้องการผจญภัยในอวกาศด้วยยานขนส่ง ซึ่งตัวยานนั้นออกแบบมาให้มีห้องพัก 22ห้อง ขนาด 7x4 เมตร พร้อมหน้าต่างที่เปิดให้เห็นวิวอวกาศ และสิ่งอำนวยความสะดวก คราวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งนาซา หรือรัสเซียในการจ่ายเงินที่แพง มากในการขึ้นไปเที่ยวรอบโลกด้วยยานอวกาศเหมือนที่ผ่า นมา ตอนนี้เครื่องต้นแบบสร้างเสร็จแล้ว และอยู่ในระหว่างรอนักลงทุนกระเป๋าหนัก ที่มองเห็นอนาคตกระโดดเข้ามาลงทุนเท่านั้นเอง

อันดับ 3 Aeroscraft : โรงแรมบินสุดหรูสำหรับวันพรุ่งนี้


สำหรับโครงการ Aeroscraft บอลลูนยักษ์ลอยฟ้าที่อัดแน่นด้วยพลังงานกว่า 400 ตัน ทำให้สามารถนำพาผู้โดยสารเหินไปกลางอากาศด้วย ความเป็นอยู่ที่หรูหราสุดยอด ที่มีพื้นที่เท่ากับสนามฟุตบอลสองสนามลอยอยู่บนอากาศ ด้วยก๊าซฮีเลียมจำนวน 14ล้านลูกบาศก์ฟุต ตามติด ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดยักษ์และเชื้อเพลิงไฮโ ดรเจน มีพัดลมขนาดยักษ์ 6 ตัว สามารถนำผู้โดยสารไปได้ประมาณ 250 คน ด้วย ความเร็ว 174 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่ความสูง 6,000 ไมล์ ในตัวโรงแรมจะมีคาสิโน ภัตตาคาร ฯลฯ


อันดับ 4 The Lunatic Hotel : โรงแรมบนดวงจันทร์




เปลี่ยนบรรยากาศไปที่โรงแรมบนดวงจันทร์กันบ้างดีกว่า และโครงการนี้ไม่ถือว่าโคมลอยแต่อย่างใด โอกาสที่จะเป็นจริงมีมากเหลือเกินซึ่ง ถ้าเปิดให้บริการเมื่อไหร่คงต้องเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกแน่นอน ถือว่านี่เป็นอีกความฝันของปี 2050 ที่ต้องไปให้ถึงเลยทีเดียว(อีกไม่กี่ปีเอง)

อันดับ 5 The Hydropolis : โรงแรมใต้น้ำระดับ 10 ดาว





เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่อาศัยทะเลเป็นฉากหลังอันตระการ ตาให้กับผู้มาพัก ตัวโรงแรมคาดหมายว่าจะสร้างกันที่ดูไบ โดยเฉพาะตัวโรงแรมนั้น ได้ใส่ศูนย์การค้าขนาดยักษ์ที่มีพื้นที่กว่า 1.1 ล้านตารางฟุตเข้าไปด้วย ในตัวโรงแรมยังมีห้องบอลรูมขนาดยักษ์ มีโรงภาพยนต์ดิจิตอลไฮเทค สุดอลังการ และที่เจ๋งสุดๆ ก็คือมีระบบป้องกันตัวเองด้วยจรวดมิสไซล์ที่อยู่ต่ำก ว่าน้ำทะเลลงไป 60 ฟิต ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสนุกกับเครื่อง เล่นมากมายในสถานที่ที่เป็น ธีมต่างๆ กว่า 220 แห่ง ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการนี้มี 150 บริษัทที่กระโดดเข้ามาร่วมแย่งชิงกันอยู่ และกว่า จะรู้ว่าใครจะเป็นผู้ได้ดำเนินโครงการก็ประมาณปลายปี นี้

อันดับ 6 The Poseidon รีสอร์ทใต้ทะเล


ด้วยพื้นที่ใต้น้ำลึกกว่า 1,200 ตารางฟุตแห่งนี้เป็นรีสอร์ทที่ถูกจับตามากที่สุดแห่ง หนึ่งในโลก เพราะเป็นรีสอร์ทใต้น้ำแห่งแรกของโลกที่จะสร้าง เสร็จภายในปี2009 มีห้องพักสุดหรูขนาด ใหญ่ึถึง 550 ตารางฟุต และนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมเยียนรีสอร์ทแห่งนี้ สามารถใช้บริการขับเรือดำน้ำ สามารถดำดิ่งไปดูปะการังน้ำลึก ดำน้ำแบบสกูบ้า กีฬาทางน้ำทุกชนิดเท่าที่นึกได้ แล่นเรือใบพารา สำรวจถ้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย

อันดับ 7 Waterworld โรงแรมกลางน้ำตกยักษ์ ประเทศจีน


แค่เห็นดีไซน์ก็รู้แล้วว่านี่มันเป็นโรงแรมแห่งความฝันชัดๆ เพราะตัวโรงแรมเหมือนฝังไปกับน้ำตกแห่งหนึ่งในเมืองจีน ตัวโรงแรมนี้ออกแบบ ให้มีห้องพัก 400 ห้อง ที่สำคัญห้องอยู่ใต้น้ำตก ลูกเล่นที่เป็นทีเด็ดก็คือ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมบริเว ณอ่าวของ โรงแรม ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำที่หรูสุดๆ หน้าผาระดับพระเจ้าให้ปีนไต่ และบันจี้จั๊มพ์ รวมถึงลูกเล่นอื่นๆ และโรงแรมนี้จะมีโอกาสสร้างก็ต่อเมื่อผ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วเท่านั้น

อันดับ 8 โรงแรม Burj al-Arab เมื่อตะวันออกพบตะวันตก ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์




โรงแรมนี้จัดว่าขึ้นชื่อระดับโลก เพราะก่อสร้างและเปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาวแห่งแรกของโลก ความสูงของโรงแรม อยู่ที่ 321 เมตร ตัวโรงแรมนั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือนใบพัดเรือ บนพื้นที่ที่เป็นเหมือนเกาะอยู่ห่างจากหาด Jumeirah ประมาณ 280 เมตร ความสุดยอดของโรงแรมนี้อีกอย่างหนึ่งคือการเป็นเอเทร ียมที่สูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 180 เมตร มีห้องพักกว่า 200 ห้องที่ไม่ซ้ำกันเลย ด้วย ราคาระหว่าง 1,000 ไปจนถึงมากกว่า 28,000 เหรียญสหรัฐต่อคืน ในตัวโรงแรมมีภัตตาคาร 8 แห่ง แต่ละแห่งมีทั้งบาร์และเลาจ์ ฟิตเนส และ สิ่งอำนวยความสะดวก

อันดับ 9 Foldable hotel pods โรงแรมลอยน้ำ



เมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการออกแบบข องอังกฤษรายนี้ได้เผยโฉมต้นแบบโรงแรมยักษ์ใหญ่กลางทะ เลแห่งนี้ขึ้นมาในงาน ? Future Holiday Forum โดยชี้ให้เห็นว่าด้วยเทคโนโลยีการเดินทางสมัยใหม่บวก กับการออกแบบชั้นยอด ทำให้โรงแรมชั้นเยี่ยมสมัยใหม่ สามารถไปตั้งอยู่กลางทะเลที่ไหนก็ได้ที่บรรดาแขกอยาก ไป และอยู่ได้เป็นเวลานานๆ


อันดับ 10 The Apeiron โรงแรมเกาะกลางทะเลโรงแรม Apeiron island จัดเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาว



มีพื้นที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร ตั้งอยู่บนความสูง 185 เมตร มีห้องพักระดับหรูหรา มากกว่า 350 ห้อง ทุกอย่างที่อยู่ในโรงแรมนี้คือคำนิยามของความไฮเทคที ่มีระดับ มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เพราะตัวโรงแรมสร้างลากูนขึ้น กลางน้ำเป็นของตัวเอง รวมถึงหาดทรายกลางทะเล ภัตตาคารสุดหรู โรงหนัง แหล่งชอปปิ้ง แกลลอรี่ศิลปะ สปาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้การ ประชุมทางไกลกับโลกพื้นดินทำได้โดยสะดวก แม้ถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับ 10 แต่ก็ยังไม่ถูกสร้างเสียที







วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติของเนคไท เนคไทเริ่มต้นมาจากประเทศอะไร?

คนทางตะวันตกนิยมใช้ผ้าผูกคอประดับเพื่อความสวยงามจะเห็นได้ว่ามีหลายแบบจนต้องเรียกรวม ๆ ว่า neckwear ผิดกับคนไทยแต่ก่อนที่มีเพียงผ้าพาด เมื่อหันมาเอาอย่างเขา จึงเริ่มผูกเนคไทหูกระต่าย หรือมีผ้าพันคอ

ดูประวัติความเป็นมาของเนคไทและจุดประสงค์ของการผูกเนคไท

การผูกเนคไท 4 สไตล์ยอดนิยม

1. การผูกแบบ The Four in hand การผูกสไตล์นี้ใช้กับเสื้อเชิ้ตที่มีกระดุมมาตราฐานและเหมาะกับเน็คไท ผ้าที่มีความหนาเป็นแบบที่ผู้ชายอย่างเรานิยมใช้มากที่สุด สไตล์นี้จะเหมาะกับผู้ชายที่มีคอสั้น


2. การผูกแบบ Full Windsor ที่ถูกต้องนั้น ต้องหนากว้างเป็นรูปสามเหลี่ยม การผูกเน็คไท สไตล์นี้เพิ่มความมั่นใจและ สง่างาม วิธีนี้ถูกสรรสร้างโดยดยุควินเซอร์ (the late Duke of Windsor) การผูกเน็คไท สไตล์นี้เหมาะสำหรับการสมัครงาน การเข้าพิธีอย่างเป็นทางการ การผูกด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เน็คไทที่มีความยาวเพิ่มขึ้น และใช่กับเสื้อที่มีปกเชิ้ตกว้าง

3. การผูกแบบ Half Windsor การผูกสไตล์นี้จะมีความทันสมัยกว่า the Four-In-Hand knot เป็นการผูกแบบสามเหลี่ยมเช่นกัน เหมาะกับเสื้อที่มีความกว้างของปกที่มีแบบปกติ สามารถใช้การผูกสไตล์นี้ในโอกาสต่างๆเหมาะกับเน็คไทที่ทำจาก เนื้อผ้าที่ไม่หนานัก

4. การผูกแบบสุดท้ายคือวิธีการผูกสไตล์ the Pratt/Shelby Knot สไตล์นี้เหมาะกับเน็คไทที่ไม่กว้างเหมือน Windsor และควรเป็นเน็คไทที่ทำจากเนื้อผ้าบาง the Neckwear Association of America ในปี 50 รายงานว่า the Pratt สร้างสรรค์ขึ้นใน New York Times(US) และ the Daily Telegraph (UK) ใน ปี 1989 โดย Jerry Pratt และต่อมาได้นำมาเผยแพร่ทางโทรทัศน์โดย Don Shelby

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Y2K

Y2K อ่านว่า วาย ทู เค หรือ Year two thousand ซึ่งหมายถึงปี ค.ศ. 2000 คำนี้เป็นศัพท์ทางวงการคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ปี ค.ศ. เป็นเลข 2 หลัก กล่าวคือ ปี ค.ศ. 1900 จะบันทึกเป็น 00 คือ 2 หลักหลัง (ขณะนี้เป็น 1999 จะบันทึกเป็น 99) เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปี ค.ศ. 2000 จะต้องบันทึกเป็น 00 ตามแนวทางเดิมซึ่งจะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์จะไม่ทราบได้ว่าเป็นปี 1900 หรือ 2000 หากแต่คอมพิวเตอร์จะคิดว่าเป็นปี 1900 ฉะนั้นการคำนวณใดที่เกี่ยวข้องกับวัน และเวลา จะผิดไปหมด เช่น คิดอายุผิด คิดดอกเบี้ยผิด การนัดหมาย การจองโรงแรม หรือสายการบิน

เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะ เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีการใช้ใหม่ๆ นั้น อุปกรณ์ต่างๆ ที่ราคาสูงมาก จึงมีการกำหนดให้ใช้หน่วยความจำอย่างประหยัด ปี ค.ศ. ที่ควรจะเป็นเลข 4 หลัก ก็กลายเป็น 2 หลักไป ผลของการประหยัดแต่ไม่รอบคอบ จึงมาปรากฏเอาตอนนี้

ความรุนแรงของปัญหานี้ขึ้นอยู่กับ

เรามีการใช้วัน หรือเวลาในระบบของเราหรือไม่ อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์จำนวนไม่น้อยใช้ clock แต่ไม่ใช้ date จึงไม่มีปัญหา Y2K
ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับว่า เราพึ่งพาคอมพิวเตอร์มากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นระบบ fully automation แท้ๆ จะมีผลกระทบแรงสุด แต่ถ้าเป็นระบบที่มี manual คู่ขนาน จะมีผลกระทบน้อยกว่า
มีการใช้ระบบเครือข่ายติดต่อกันมากน้อยเพียงใด ยิ่งมากยิ่งมีผลกระทบมาก
ในการแก้ไขปัญหา Y2K นั้นมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

ทำรายการคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่มีในองค์กร (Inventory listing)
ทำการประเมินคอมพิวเตอร์แต่ละชิ้น แต่ละระบบที่มี ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเราทราบว่าปัญหาคืออะไร แต่ที่สำคัญเราไม่ทราบว่าปัญหามีอยู่ที่ไหนบ้าง ทั้งในส่วนของ hard ware และ soft ware
หา และกำหนดแนวทางแก้ไขในทุกๆ ส่วนของระบบ
ลงมือแก้ไขตามแนวทางที่วางไว้ และทำการทดสอบต่อเนื่อง ถ้ายังมีปัญหาให้กลับไปตั้งต้นใหม่
ทำแผนสำรองฉุกเฉิน เผื่อไว้ว่าท้ายที่สุด แก้ไขไม่สำเร็จจะได้มีทางออกสำรอง
สำหรับการทำ รายการคอมพิวเตอร์ (Inventory listing) นั้น ท่านผู้รู้แนะนำให้จัดกลุ่ม คอมพิวเตอร์ ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

Corporate system ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานหลักขององค์กร เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารที่ให้บริการอยู่
Computer embedded system เป็นคอมพิวเตอร์ที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องมือ Automation ทั้งหลาย
Dedicated computer system เช่น เครื่องที่ใช้ในฝ่ายบัญชีด้วยโปรแกรมพิเศษต่างๆ
PC และ bundle soft ware ต่างๆ
จากที่กล่าวมาเป็นการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขภายในองค์กร ยังมีส่วนที่จะต้องสอบถาม ขอความมั่นใจ และยืนยันจากหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องอีกด้วย (Subcontractors)
สำหรับโรงพยาบาลรามคำแหงฯ เราได้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวนี้ และอาจกล่าวได้ว่าเราพร้อมสำหรับปี ค.ศ. 2000 ความปลอดภัยของท่าน เป็นหน้าที่ของเรา

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

15 วิธีลับสมอง ทำให้ความจำดี

1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆสามวๆนั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆให้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้น

3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุดก็คือจดทุกอย่างลงในกระดาษ เขียนไว้กันลืม สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถึงแม้ว่าหยดหมึกที่จางที่สุดก็จะอยู่ได้นานกว่าความจำที่ว่าแม่นที่สุด

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอนะ ที่จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆละก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆเข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆเข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆที่เราคุ้นเคย

6. ฝึก..ฝึก..ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูสิว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่ยังเด็กล่ะ

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆหรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มันมักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ จะเชื่อมั้ยล่ะ ถ้าบอกว่าวิธีเปิดฝากระป๋องแบบดึงขึ้นนั้นน่ะ ต้นตอมาจากการปลอกเปลือกกล้วยนั่นเอง

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..แล้วคำโบราณที่บอกว่าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลนั่นน่ะมันเป็นความจริง การที่เราได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ

10. เลียนแบบลีโอนาโด..หมายถึง ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยมั้ยที่เวลาได้เจอใครๆกลับจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ที่เป็นปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ๆจะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15 ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด ขึ้นป้าย Don't Disturb! ติดไว้ข้างตัว เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ลิ้นบอกอาการป่วย

ในขั้นตอนการตรวจร่างกายผู้ป่วย เพื่อที่จะวินิจฉัยโรคนั้น ส่วนใหญ่หมอจะขอดูลิ้นก่อน การที่หมอตรวจดู
ลิ้นก็เพราะว่า สีและลักษณะของลิ้นที่ผิดไปจากปกติจะสัมพันธ์กับโรคบางอย่าง เช่น
- โรคกระเพาะอาหารและสำไส้ ลิ้นจะมีลักษณะเป็นเมือก เนื่องจากลิ้นมีจุดกำเนิดของร่วมกับทางเดิน
อาหารส่วนต้น
- โรคโลหิตจางและอาการที่สัมพันธ์กับโรคนี้ ทำให้โครงสร้างของเยื่อบุผิวปกติของลิ้นเปลี่ยนแปลงไป ทำให้
ลิ้นมีสีเหลือง ลิ้นอักเสบ มีกลิ่นเหม็น เหล่านี้เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Sigmund Freud



ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวออสเตรีย เชื้อสายยิว เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2399 ในจักรวรรดิออสเตรียซึ่งปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเช็ก และเสียชีวิตวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2482 รวมอายุ 83 ปี ครอบครัวมีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวียนนาสาขาวิทยาศาสตร์ แล้วเรียนต่อสาขาแพทยศาสตร์ จากนั้นได้ไปศึกษาต่อด้านโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ที่นั่นฟรอยด์ได้ค้นพบว่าความจริงแล้วคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย หลังจากกลับมาอยู่ที่กรุงเวียนนา ฟรอยด์จึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) กับคนไข้ที่เป็นอัมพาต กล่าวคือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากอัมพาต

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ศึกษาวิเคราะห์จิตใจของมนุษย์ และอธิบายว่า จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ

1. จิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ ได้แก่ การแสดพฤติกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง

2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ แต่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรมในขณะนั้น เป็นส่วนที่รู้ตัวสามารถดึงออกมใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

3. จิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ แต่มีอิทธิพลจูงใจพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุด

เขาอธิบายว่าจิตใต้สำนึกของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ อิด (Id) อีโก้ (Ego) และ ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) โดย อิดจะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เช่น รัก โลภ โกรธ หลง หรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง ซึ่งหากคนเรามีอิด เพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ในขณะที่ ซุปเปอร์อีโก้จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิด และซุปเปอร์อีโก้นั้นจะมี อีโก้อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถาม-เฉลย ความรู้รอบตัว คำถามคำตอบเรื่องความรู้รอบตัว

1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง…

2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง…

3.เส้นผมคนรับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม..

4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์

5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการต้องซื้อลิขสิทธิก่อน…

6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์…

7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้…

8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต…

9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย…(พี่หมี: จะรู้ไปทำไมเนี่ย)


10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว…

11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้…

12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน…

13.ฮิปโปผายลมทางปาก…

14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ…

15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์…

16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า”โกงข้อสอบ”…

17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา…

18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน…

19.ตัว”โอ”เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ…

20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที

21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้..

22.เม่นชอบช่วยตัวเอง…

23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย…

24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่…

25.เจ้าฟ้าชายชาลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม…

26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด…

27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน

28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที

29.มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา

30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว

31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed

32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น

33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ - โพดำกษัตริย์เดวิด - ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช - โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ - ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์

34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศแปลว่าคนนั้นตายในสงคราม

35.ถ้าม้ายกขาข้างเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น

36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ

37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆที่ถูกทำให้เชื่อง

38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชน กระทบ)

39.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต

40. หนูสามารถสืบพันธ์ได้เร็วมาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว

41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700 เท่าตัว

42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา

43.เหมือนกับลายนิ้วมือ….ลายลิ้นทุกคนต่างกัน

44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ 1982(พี่หมี: เมื่อปี 2006 พวกเราก็ได้เป็นบุคคลแห่งปี เหมือนกันนี่หน่า เพราะเค้ายกย่อง ” YOU ” คุณผู้อ่านนั่นแหละที่ช่วยกันสร้างสังคมบนโลกออนไลน์ให้เกิดขึ้นมา)

45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริชแลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.

46.ตอนที่ F4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2

47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต

48.โดนัลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน


49.��าพยนต์เรื่อง notting hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้านบาทคิดจากอัตรแลกเปลี่ยนเมื่อปี 1999 เป็นปีที่ออกฉาย)

50.หนังอนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊กว่าเป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง

51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู

52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม

53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่

54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้

57.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่

58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว

59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้อง

60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้

61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง

62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ “เฟรนช์คิส” ได้ด้วย

63.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี

64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ

65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ

66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เป็นของเหลว

67.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด

68.เลือดของกุ้งมังกรเปนสีน้ำเงิน

69.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา