วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฝึก "หายใจ" ให้ "หายง่วง"



ตกบ่ายทีไร เป็นต้องสมองตื้อตัน ความคิดไม่แล่น เนื่องจากความง่วงเหงาหาวนอนเป็นประจำหรือเปล่า จะแก้อาการด้วยกาแฟสักแก้ว ก็คงเป็นการหลอกตัวเองแบบไม่มีประโยชน์ (เพราะกาแฟมีโทษน่ะสิ)


ในหนังสือ "พลังบำบัด ร่างกายคุณรักษาตนเองได้" ของนายแพทย์แอนดรู ไวล์ เขามีวิธีบริหารลมหายใจซึ่งจะช่วยกระตุ้นร่างกาย ปลุกตัวเองให้กระฉับกระเฉงขึ้นได้ด้วย น่าสนใจไหม ลองทำตามดังนี้

* นั่งในท่าสบายๆ หลังตรง หลับตา เอาปลายลิ้นแตะที่ฟันบนด้านในแล้วเลียขึ้นไปทางเพดาน พอพ้นฟัน พักปลายลิ้นที่ตำแหน่งนั้น เรียกว่าตำแหน่ง "โยคะ" พักลิ้นไว้จุดนี้ตลอดการฝึก

* หายใจเข้าออกถี่ๆ ทางจมูก หุบปากตามสบาย การหายใจเข้าและออกควรเป็นระยะเท่ากันและถี่กระชั้น จนคุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อที่ฐานต้นคอเหนือกระดูกไหปลาร้าและที่กระบังลมเกิดการเคลื่อนไหวตาม หน้าอกต้องกระเพื่อมเร็วและเป็นจังหวะคล้ายๆ กำลังสูบลมด้วยที่สูบลม ภาษาสันสกฤตจะเรียกหารบริหารบทนี้ว่า "การหายใจแบบสูบลม" ซึ่งควรมีเสียงทั้งหายใจเข้าและหายใจออก หายใจให้ได้สัก 3 รอบต่อ 1 วินาที ถ้าพอทำไหว

ครั้งแรกที่คุณลองหายใจแบบนี้ ให้ทำสัก 15 วินาทีก็พอ ตามด้วยการหายใจปกติ แต่ละครั้งที่คุณจะบริหารก็ให้เพิ่มเวลาขึ้นเป็นครั้งละ 5 วินาที จนกระทั่งทำได้ถึง 1 นาทีเต็ม

วิธีนี้เป็นการออกกำลังกายให้แก่การหายใจจริงๆ คุณจึงควรรู้สึกล้าตามกล้ามเนื้อจุดต่างๆ ที่ใช้งาน ไม่ต้องวิตก การบริหารบ่อยๆ จำทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และเมื่อคุณกลับสู่การหายใจปกติ จะรู้สึกว่ามีพลังงานเคลื่อนไหวถ่ายเทไปตลอดทั้งร่างอย่างเบาบาง แต่หนักแน่น

วิธีบริหารลมหายใจนี้จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางให้ทำงานมากขึ้น ลองใช้วิธีนี้แก้ง่วงแทนกาแฟ คุณหมอแอนดรูก็ใช้วิธีนี้เสมอยามขับรถ เขาพบว่ายิ่งทำมากเท่าใด ยิ่งสร้างพลังให้แก่คุณเองมากขึ้นเท่านั้น

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิตามินบำบัด




วิตามิน หมายถึง สารอาหารที่จำเป็น และร่างกายได้รับจากอาหารที่กินเข้าไป ไม่ได้สังเคราะห์ขึ้นมาเอง (ยกเว้นวิตามินดี) ถ้าปราศจากวิตามินแล้วเราก็ไม่อาจมีสุขภาพที่ดีได้

และที่สำคัญคือดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้

วิตามินทุกชนิด (ยกเว้นวิตามินบี 12) ถูกสร้างขึ้นโดยพืชและเชื้อจุลินทรีย์ เราจึงจำเป็นต้องกินผัก ผลไม้ รวมทั้งข้าว ถั่ว ผลไม้ประเภทเปลือกเเข็ง เมล็ดในของผลไม้ เพื่อให้ได้วิตามินมากขึ้น หรือในทางตรงกันข้ามเราอาจกินเนื้อสัตว์หรือปลา ซึ่งได้สะสมวิตามินจากพืชผักที่มีมันกินเป็นอาหาร เนื้อปลาเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินที่ละลายในไขมันส่วนผักและผลไม้เป็นแหล่งที่อุดมด้วยวิตามินบีและซี

วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน เอ ดี อี เค

วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินซีและบีทุกตัว

วิตามินที่ควรรู้จัก

วิตามินเอ : (เอ-เบต้าแคโรทีน และ เอ-เรตินอล)

พบมากในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี ในผักสีเหลืองและส้ม เช่น แครอท มะละกอ บำรุงสายตา เสริมภูมิต้านทานโรค ทำให้ผิวตกกระที่เกิดจากความชราภาพลดน้อยลง กระดูกแข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ผม ฟันและเหงือกแข็งแรง รักษาสิว ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เป็นต้น

วิตามินอี : (โทโคเฟอรอล)

วิตามินอีมีมากในจมูกข้าว รำอ่อน วีตเจิร์ม ถั่วทุกชนิด เมล็ดธัญพืช และไข่ ทำให้ดูอ่อนเยาว์เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระร่วมกับวิตามินเอ ช่วยให้ร่างกายต้านทานมลพิษในอากาศได้มากขึ้น ป้องกันและละลายก้อนเลือด ป้องกันการอ่อนเพลีย ป้องกันการแท้งลูก ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น

วิตามินซี : (แอสโคบิก ร่วมกับ C-Complex)

มีมากในผักใบสดและผลไม้สดทุกชนิด ช่วยในการสมานแผล รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมภูมิต้านทาน ทั้งไวรัสอย่างหวัดและแบคทีเรีย รักษาโรคภูมิแพ้ต่างๆ ป้องกันมะเร็ง เป็นยาระบายอ่อนๆ ป้องกันเลือดเเข็งตัวเป็นก้อน อาการเครียด เป็นต้น

วิตามินบี 1 : (ไทอามีน)

มีมากในข้าวกล้อง รำข้าว นม ขนมปังโฮลวีต ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต เสริมสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจ ทำให้ระบบประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิตามินบี 2 : (ไรโบฟลาวีน)

มีมากในใบผัก ปลา ไข่ นม ตับ ข้าวกล้อง ช่วยทำให้ผิวพรรณ เล็บ ผมแข็งแรง ช่วยสมานแผลในปากและริมฝีปาก ป้องกันอาการของตาเมื่อยล้า จำเป็นต่อผู้สูงอายุมาก

วิตามินบี 6 : (ไพรีดอกซีน)

มีมากในข้าวกล้อง รำข้าว วีตเจิร์ม ถั่วเหลือง แคนตาลูป กะหล่ำ ไข่ จะช่วยป้องกันอาการคลื่นไส้ ช่วยสร้างกรดอะมิโนที่ป้องกันอาการแก่ และสร้างไนอาซิน

วิตามินบี 12 : (โคบาลามิน)

มีมากในน้ำปลา ปลาร้า กะปิ ตับ ไข่ นม เนื้อสัตว์ทุกชนิด ช่วยสร้างเม็ดเลือด ช่วยการทำงานของระบบประสาท ความทรงจำ สมาธิ

เซเลเนียม

พบมากในข้าวกล้อง จมูกข้าว วีตเจิร์ม มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ ตับ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการของวัยหมดประจำเดือน ทำให้ผิวเต่งตึง

สังกะสี

มีมากในตับ วีตเจิร์ม เมล็ดฟักทอง และไข่ ช่วยในการสมานแผลทั้งภายในและภายนอก ช่วยเจริญอาหาร รักษาโรคมีบุตรยาก ป้องกันโรคของต่อมลูกหมาก ช่วยรักษาอาการทางจิตใจ

โพแทสเซียม

มีมากในผลไม้จำพวกส้ม แคนตาลูป มะเขือเทศ ผักใบเขียวทุกชนิด เมล็ดทานตะวัน สะระแหน่ กล้วยหอม ช่วยในการทำงานของสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนได้มากขึ้น ช่วยรักษาอาการของโรคภูมิแพ้

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แนะ 7 วิธี ป้องกันสาว ๆ ถูกละเมิดในงานปาร์ตี้




1. ไม่ไปร่วมงานคนเดียว ควรมีเพื่อนที่ไว้ ใจได้ไปด้วย
2. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หากต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ให้ดื่มพอประมาณ เพื่อให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
3. ไม่รับเครื่องดื่มจากคนที่ไม่รู้จักดี หรือไม่สามารถเชื่อใจได้
4. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแก้วเดียวกับผู้อื่น
5. ไม่ดื่มอย่างรวดเร็วเพราะหากเครื่องดื่มถูกใส่ยาลงไป จะได้มีเวลาที่จะระวังตัวได้ทัน
6. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่อยู่ในภาชนะที่มีปากกว้าง เช่น อ่างใส่พั้นซ์ เพราะง่ายต่อการถูกใส่ยา หรืออาจถูกใส่ยาไปแล้ว
7.ไม่ควรละสายตาจากเครื่องดื่มของตน หากต้องเข้าห้องน้ำหรือออกไปเต้นรำ กลับมาแล้วควรเปลี่ยนแก้วใหม่ทันที


อย่างไรก็ตาม เมื่อดื่มเครื่องดื่มแล้วพบว่ารสหรือกลิ่นของเครื่องดื่มเปลี่ยนไป ควรหลีกเลี่ยงการดื่มต่อ และเมื่อดื่มแล้วมีอาการแปลก ๆ หรือรู้สึกเมาหลังจากดื่มไปได้เพียงเล็กน้อย ให้รีบขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ไว้ ใจ ปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า เพราะอาจจะเป็นคนที่ลอบวางยาได้

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

C'est moi



Je m'appelle Wacharakamol KHAMBUNLENG

Je suis réfléchie , confiante, volontaire , sociable et curieuse de tout

Je n'aime pas des gens qui sont timides , agressif , paresseux ,inquiets et secrets

,, Je suis gaie et ambitieuse mais Je n'aime pas capricieuse *

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตับและโรคตับอักเสบ

ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก มีหน้าที่หลายอย่าง เช่น การสร้างน้ำดี ช่วยย่อยอาหารประเภทไขมัน เก็บสำรองอาหาร โดยการเก็บ glucose ไปสะสมไว้ในเซลล์ตับ ในรูปของ glucogen และเมื่อร่างกายต้องการใช้ ก็จะทำการเปลี่ยน glucogen มาเป็น glucose ตับเป็นแหล่งสะสมวิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ ดี และบี12 และยังทำหน้าที่ขจัดสารพิษที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด

ตับยังทำหน้าที่สร้าง วิตามินเอ จากสารแคโรทีน ซึ่งมีสะสมอยู่ในพวกแครอทและมะละกอ สร้างธาตุเหล็ก ทองแดง และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ยังทำหน้าที่กินและทำลายเชื้อโรค และเป็นแหล่งให้พลังงานความร้อนแก่ร่างกาย

จะเห็นได้ว่าตับทำหน้าที่สำคัญมากมายให้แก่ร่างกายเรา ฉะนั้นหากเซลล์ตับถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพไป ก็จะมีผลเสียแก่สุขภาพของเรา เราจึงควรหมั่นตรวจสอบสมรรถภาพของตับอย่างสม่ำเสมอ

การทดสอบสมรรถภาพของตับ ทำได้โดยทดสอบทางห้องชันสูตร แตผลการทดสอบไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า ตับปกติดีร้อยเปอร์เซนต์ หรือเสื่อมสภาพไป แต่การทดสอบสามารถบ่งชี้ถึงความเสื่อมสภาพที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ก็มีประโยชน์ในการแยกประเภทของโรค การติดตามการดำเนินของโรค และการติดตามผลการรักษาโรค

โรคตับอักเสบ หมายถึง โรคที่เซลล์ของตับมีการอักเสบเกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการแพ้สารพิษ หรือการติดเชื้อจุลชีพ หรือติดเชื้อไวรัส ปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่ติดเชื้อจากไวรัส ตับจะบวมโต ผู่ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นบริเวณตับ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย บางรายมีไข้ต่ำๆ คลื่นใส้ และอาเจียน บางรายตัวเหลื่อง ตาเหลือง

โรคตับอักเสบ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง อาการของผู่ป่วยจะคล้ายคลึงกัน ต้องอาศัยการตรวจเลือดเพื่อดูอาการของตับ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ทราบถึงตัวเชื้อต้นเหตุ และเป็นแนวทางในการดูแลป้องกันและรักษาผู้ป่วย

โรคตับอักเสบที่เกิดจากไวรัสต่างชนิดกัน จะมีความรุนแรงและการรักษาต่างกันไปที่พบบ่อยเกิดจากเชื้อ

1. ตับอักเสบ เอ
2. ตับอักเสบ บี
3. ตับอักเสบ ซี
4. ตับอักเสบ ดี
5. ตับอักเสบ อี

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รวมมิตรโรคฮิตจากคอมพิวเตอร์

สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เผยผลกระทบจากการใช้คอมพิวเตอร์เดือนพ.ย.52 พบปัญหาสายตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แขน ข้อมือ แผ่นหลัง ต้นคอ หัวไหล่ และท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด...

คนทำงานรุ่นใหม่มักเจอปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์ถาโถมเข้าใส่ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว ปวดตา ปวดเมื่อยเนื้อตัวทราบหรือไม่ว่าผลกระทบจากการใช้คอมพิวเตอร์ ในการทำงาน เล่นเกม หรืออินเตอร์เน็ตนั้น สามารถจัดกลุ่มเรียกว่าเป็น "โรคฮิตจากคอมพิวเตอร์" ได้ โดยจดหมายข่าวรายเดือนของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เดือนพฤศจิกายน รวบรวมไว้ดังต่อไปนี้





-ปัญหาเกี่ยวกับสายตา การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันจะทำให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคือง และอาการที่ตามมาคือ ตาพร่ามองไม่เห็นชั่วคราว รวมทั้งสายตาสั้น นอกจากนี้ ยังมีอาการไมเกรนตามมา เพราะกล้ามเนื้อตาจะบีบรัดเลนส์ตาจนล้า

-"คอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม" หรือซีวีเอส จะมีอาการเมื่อยล้าตา ปวดตา เคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลัง และไหล่

-"รีพิททีทีฟ สเตรน อินเจอรี" หรืออาร์เอสไอ เกิดจากการที่เรานั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างไม่ถูกสุขลักษณะ สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่แขน ข้อมือ ข้อนิ้ว แผ่นหลัง ต้นคอ หัวไหล่ และสายตา หากปล่อยไว้นานๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็นก็มี

-อาการท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด (QWERTY Tummy) ชื่ออาการนี้มาจากกลุ่มตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ด สาเหตุที่ทำให้ท้องร่วง เพราะคีย์บอร์ดมีแบคทีเรียสะสมอยู่ บางคนมักรับประทานอาหารหน้าจอคอมฯที่มีคีย์บอร์ด มือที่สัมผัสคีย์บอร์ดติดเชื้อแบคทีเรีย เมื่อหยิบอาหารอาจทำให้แบคทีเรียเหล่านั้นปะปนในอาหารได้

-"คาร์ปาล ทุนเนล ซินโดรม" เกิดจากการใช้ งานซ้ำๆที่บริเวณข้อมือ ทำให้เอ็นรอบบริเวณข้อมือหนาตัวขึ้น แล้วไปกดเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน ทำให้เกิดอาการชาและเจ็บได้ในเมื่อการทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ยังต้องดำเนินต่อไป ก็ต้องคอยเตือนตัวเองให้ปรับสภาพการทำงานให้ถูกสุขลักษณะ ลุกจากที่นั่งขึ้นมายืดเส้นยืดสายเป็นระยะเสียบ้าง เพื่อจะได้ให้บรรเทาเบาบางจากโรคฮิตเหล่านี้.

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อันตรายจากความอ้วน

1. ภาวะไขมันในเลือดสูง
ซึ่งจะนำไปสู่ความผิดปกติของระบบอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อไขมันไปเกาะตามผนัง
หลอดเลือด ก็จะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและความดันโลหิตตามมาได้
2. ความดันโลหิตสูง
ซึ่งหากเป็นมาก ๆ อาจทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ถึงแก่ชีวิตหรือ
พิการ เป็นอัมพาตได้
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งในปัจจุบันป็นสาเหตุของการตายอันดับหนึ่งของ
ประเทศอุตสาหกรรม หรือประเทศที่พัตนาแล้ว รวมทั้งประเทศไทยด้วย เนื่องจาก
ไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน หัวใจ
ทำงานเพิ่มมากขึ้น ถ้าเป็นกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงหัวใจแล้ว ก็ทำให้เกิดโรคหัวใจ
ขาดเลือด และหัวใจวายถึงแก่ชีวิตได้
4. โรคเบาหวาน
ซึ่งมักพบควบคู่กันเสมอในสภาวะที่เป็นโรคอ้วนอยู่ เมื่อเป็นเบาหวานแล้วมักเป็น
แผลเรื้อรังไม่ค่อยหาย บางทีเป็นแผลกดทับในรายที่ต้องนั่งหรือนอนนาน ๆ
ประกอบกับมีการเสี่ยงต่อการติดเชื้อราง่ายขึ้น เพราะมีการอับชื้น ของซอกแขน
และซอกขามากกว่าปกติ
5. โรคข้อกระดูกเสื่อม โดยเฉพาะข้อเข่า และข้อเท้าเนื่องจากต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินพิกัด
บางคนที่อ้วนมาก ๆ อาจจะ ยืนหรือเดินไม่ได้เลย เพราะข้อเท้าไม่สามารถรับน้ำหนักได้ คุณ
คงไม่อยากเป็นอย่างนั้นใช่ไหม
6. โรคของระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากในคนอ้วนมักมีการเคลื่อนไหวน้อย ชอบนั่งหรือนอนมากกว่า ปอดจึงขยายตัวไม่ได้เต็มที่
จึงทำให้เกิดภาวะการติดเชื้อของทางเดินหายใจได่บ่อยกว่าปกติ
7. โรคมะเร็งบางชนิด และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เราจะพบว่าคนอ้วนมีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ
รวมทั้งการเกิด โรคมะเร็งได้มากกว่าคนที่มีสุขภาพดี นอกจากปัญหาสุขภาพร่างกายที่กล่าวทั้งหมด
แล้ว คนอ้วนยังมีปัญหาสุขภาพ จิตใจด้วยเริ่มตั้งแต่ถูกเพื่อนๆ ล้อเลียนเป็นตัวตลกขาดความมั่นใจในตัวเอง
และเนื่องจากคนอ้วนมักมีกิจกรรมพิเศษ หรือการออกกำลังกายน้อยเกินไปจึงทำให้อารมณ์ไม่เบิกบานแจ่มใส
เท่าที่ควร อาจพบภาวะของโรคอารมณ์เศร้าหมองร่วมไปด้วย โดยเฉพาะในหญิงสาวซึ่งเมื่อมีความไม่
สบายใจ ก็มักจะหาทางออกด้วยการรับประทานอาหารหรือของโปรด เช่นไอศครีม ช็อคโกแลต ซึ่งอาจจะ
ช่วยให้อารมณ์ช่วงนั้นดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำร้ายตัวเองมากยิ่งขึ้นไปอีก


ผลต่อสุขภาพ มีการศึกษาจนมีหลักฐานแน่ชัดว่า ความอ้วนทำให้อัตราการเกิดโรคในระบบต่างๆ มากขึ้น ได้แก่
ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน หรือในคนไข้ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ความอ้วนจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินฮอร์โมนได้
ข้อ (1.) และ (2.) เกี่ยวพันโดยตรงกับ อายุที่มากขึ้น และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
ภาวะเส้นเลือดแข็งตัว (ATHEROSCLEROSIS) อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดเลี้ยง
หัวใจตีบ จะสูงขึ้นทั้งในเพศชายและในเพศหญิงวัยกลางคน ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
โรคนิ่วในถุงน้ำดี และการที่มีไขมันแทรกในตับ
ระบบทางเดินหายใจ การทำงานของปอดจะลดลง บางครั้งถึงกับมีภาวะการหายใจลดลง ทำให้มีก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์คั่งในปอด ในคนที่อ้วนมากๆ ทำให้เหนื่อยง่าย ง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา
โรคข้อเสื่อม และโรคข้ออักเสบเก๊าท์ จะมีอุบัติการณ์เพิ่มสูงมากในทั้ง 2 เพศ
อุบัติการณ์การเกิดมะเร็งบางอย่าง จะสูงขึ้น เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งของถุงน้ำดี และมะเร็งเยื่อบุมดลูก
เป็นต้น
ผลต่อบุคคลิกภาพ ความสวยงาม และการยอมรับของสังคม คนที่อ้วนมากๆ จะถูกมองว่ารับ
ประทานเก่ง ไม่สนใจดูแลตัวเอง อาจถูกล้อเลียนได้บ่อย