วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

5 วิธีลดความดันสูงด้วยการรักษาทางเลือก

ปริมาณเกลือที่รับประทาน มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ที่รับประทานเกลือมาก จะพบว่ามีความดันสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อยกว่า ดังนั้น วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดจะต้องลดเกลือ เพิ่มผักผลไม้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตรวจเช็คความดันโลหิตทุก 6 เดือน และหากพบความดันโลหิตสูงผิดปกติควรรีบดูแลรักษาปละปรับพฤติกรรมตามหลักปัญจกิจ หรือร่วมกับ 5 แนวทางการรักษาทางเลือกที่เรานำมาฝากกันค่ะ 1. คันธบำบัด มีคำแนะนำมากมายจากอโรมาเทอราปิสต์ ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยบางชนิดช่วยบำบัดอาการ และทำให้ผ่อนคลาย เช่น น้ำมันหอมระเหย กลิ่นคาโมไมล์ลาเวนเดอร์ 2. การบำบัดด้วยอาหาร ด้วยการลดปริมาณเกลือโซเดียม และหันมาเพิ่มอาหารที่มีธาตุโพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งมีมากในผักและผลไม้สด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วย มันฝรั่ง และผักใบเขียวต่างๆ เช่น เซเลอรี่(ขึ้นฉ่ายฝรั่ง) ซึ่งถือเป็นผักที่ดีในการลดความดันโลหิต 3. การบำบัดด้วยสมุนไพร การดื่มน้ำสมุนไพรจากขึ้นฉ่าย กระเจี๊ยบแดงและบัวบก เป็นต้น 4. การผ่อนคลายและทำสมาธิ เทคนิคการทำสมาธินั้นมีประโยชน์ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต จากการศึกษามีคำแนะนำว่า การทำสมาธิ 20 นาที วันละ 2 ครั้งจะช่วยลดความดันโลหิตได้ 5. โสตบำบัด คำแนะนำจากนักวิจัยเพื่อช่วยลดความดันโลหิต คือให้ฟังเพลงที่ช่วยผ่อนคลาย แล้วหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วปล่อยให้ตัวเองซึมซับเอาพลังงานเสียงเข้าไว้ ความดันโลหิตสูงนั้นป้องกันได้ถ้าเริ่มต้นปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวคุณ

ผมหงอก..ยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่

ในวัยที่เริ่มมีผมหงอกเรามักจะไม่กล้าถอนกัน เพราะเชื่อว่าเมื่อถอนผมหงอกเชื้อผมหงอกจะกระจายจากรากผมเส้นที่หงอก แล้วลามไปที่รากผมบริเวณใกล้เคียง(อย่างกับโรคติดต่อ) จนทำให้ผมหงอกทั้งศรีษะ แต่ในความเป็นจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้นจะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอกจึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น เพิ่มจากปัจจัยอื่นต่างหาก เพื่อเป็นการป้องกันที่สาเหตุ ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย เราควรดูแลผมให้ดกดำด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น งาดำ เป็นต้น หรือถ้าหงอกมากแล้วไม่สบายใจจะพิจารณาเป็นการย้อมผมดำแทนก็ได้ แล้วแต่จะเลือกวิธีการที่สะดวกและเหมาะกับตนเอง

1 ใน 3 วิตามินรวม ผลิตไม่ได้มาตรฐาน



คอลัมน์ หมุนก่อนโลกบริษัทประเมินผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพในสหรัฐ แฉว่า ผลการทดสอบวิตามินรวมหลายขนานพบว่า ร้อยละ 30 มีส่วนผสมไม่ตรงตามที่ระบุไว้ หรือมีสารตะกั่วปนเปื้อน"คอนซูเมอร์แล็บดอตคอม" บริษัทในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ ที่ให้ข้อมูลผู้บริโภคและประเมินผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและโภชนา การ ซึ่งอ้างว่าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายใดๆ เผยว่า วิตามินรวมหลายขนานมีส่วนผสมเกินระดับสูงสุดที่สถาบันเวชภัณฑ์กำหนดไว้ เช่น วิตามินรวมสำหรับเด็กขนานหนึ่ง มีส่วนผสมของวิตามินเอ 5,000 ไอยู ทั้งที่เด็กอายุ 4-8 ขวบ ไม่ควรได้รับวิตามินเอเกินวันละ 1,300 ไอยู การได้รับวิตามินเอมากเกินไปอาจทำให้คลื่นไส้ สายตามัว กระดูกบางลง และตับมีปัญหา วิตามินรวมสำหรับเด็กบางขนานมีไนอาซิน (วิตามินบี 3) และสังกะสีสูงเกินกำหนด ไนอาซินเกินกำหนดอาจทำให้ผิวหนังคันและแดง ส่วนสังกะสีเกินกำหนดอาจทำให้ภูมิต้านทานบกพร่องและโลหิตจางส่วนผลการทดสอบวิตามินรวมสำหรับผู้ชายพบว่า 2 ใน 3 ไม่ได้มาตรฐาน ขนานแรกมีกรดโฟลิกมากเกินกำหนด เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก อีกขนานปนเปื้อนสารตะกั่ว ขณะที่ผลการทดสอบวิตามินรวมสำหรับสตรี 4 ขนาน พบขนานหนึ่งมีวิตามินเอเพียงร้อยละ 66 ของที่ระบุ เช่นเดียวกับวิตามินรวมของผู้สูงอายุ 1 ใน 5 ขนาน มีวิตามินเอเพียงร้อยละ 44 และวิตามินรวมสำหรับสตรีมีครรภ์ 1 ใน 3 ขนาน มีวิตามินเอไม่ถึงเกณฑ์

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)







ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคทำให้สูง

วัยรุ่นคนไหนที่อยากสูง วันนี้มีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะเพิ่มความสูงมาฝากกัน...
ความสูงเป็นสิ่งที่วัยรุ่นต้องการ รวมไปถึงนักเล่นกีฬาและการประกอบอาชีพบางอย่าง ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่จะทำให้สูงได้ตามศักยภาพของพันธุกรรมอีกช่วงหนึ่ง โดยทั่วไป วัยรุ่นหญิงจะหยุดสูงเมื่ออายุประมาณ 17 ปี และวัยรุ่นชายจะหยุดสูงเมื่ออายุประมาณ 19 ปี โภชนาการมีความสำคัญยิ่งต่อการช่วยพัฒนาความสูง การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ที่สมดุลและมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกายจึงมีความสำคัญมาก สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างความสูง ได้แก่ สารอาหารโปรตีน ซึ่งสำคัญสำหรับสร้างเนื้อเยื่อเพื่อเป็นฐานโครงสร้างของกระดูกโปรตีนที่ได้จากอาหาร จะต้องเป็นโปรตีนคุณภาพดีซึ่งจะได้จากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไข่ และนม สารอาหารที่สำคัญ อีกชนิดหนึ่ง คือ แคลเซียม ซึ่งวัยรุ่นต้องการในปริมาณที่สูงมาก เมื่อเทียบกับวัยอื่น ๆ พบว่า เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นที่ไม่ดื่มนม จะได้รับแคลเซียมจากอาหารประมาณ 1 ใน 3 ของความต้องการใน 1 วัน
การดื่มนมอย่างน้อยวันละ 2 แก้วจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากการกินอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการแล้ว การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาเป็นประจำ และการหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโตช่วยพัฒนาความสูงให้เป็นไปตามปกติ และพบว่า กีฬาประเภทที่มีการยืดตัว เช่น ว่ายน้ำ บาสเกตบอล และโหนบาจะช่วยพัฒนาความสูงได้ดีกว่ากีฬาประเภท

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หอไอเฟล








หอไอเฟล(Eiffel) สัญลักษณ์ของนครปารีสสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1887-9 ออกแบบโดยวิศวกรที่มีชี่อเสียงของฝรั่งเศสชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงสินค้าโลกในปี 1889(พ.ศ. 2413) ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารย์ในทางลบว่าทำลายความงดงามของปารีสด้วยโครงเหล็กน่าเกลียด อยู่ๆก็มีโครงเหล็กสูงโด่งมาขวาตาพวกเขา เพราะมันทำขึ้นด้วยโลหะ 15,000 ชิ้น หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อโดยน๊อต 3,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35ตัน สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,997,401 ฟรังค์ สูง 1,050 ฟุต เสียเวลาก่อสร้าง 1 ปี


• มีลิฟต์พาชมวิวได้สูงถึงยอดหอซึ่งมีร้านอาหารที่สามารถใช้นั่งชมวิวได้ทั่วทั้งกรุงปารีส และชมความงดงามของแม่น้ำเซนด้วย สุดท้ายหอไอเฟลกลับเป็นสถานที่ยอดนิยม ใครต่อใครที่มาปารีสต้องถ่ายรูปด้วยตามธรรมเนียม หอนี้เคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกยุคสมัยแรก จนกระทั่งตึกเอ็มไพน์สเตทสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1931
• ในวันอากาศดีอาจขึ้นไปชมวิวได้ถึงชั้นสูงสุดที่ 899 ฟุต ยามค่ำคืน หอไอเฟล จะเปิดไฟสวยงามมากและมุมที่ที่ดีที่สุดจะถ่ายภาพหอไอเฟล คือบริเวร Trocadero มีทั้งร้านขายของที่ระลึกและภัตตาคาร เปิดทุกวันเวลา 09.00 - 23.00 น. ค่าขึ้นลิฟต์ชม ชั้นที่ 1 (20 ฟรังค์) ชั้นที่ 2 (42 ฟรังค์) ชั้นที่ 3 (59 ฟรังค์)

• เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะมีการขูดสนิมเหล็กออก สภาพจึงดูดีขึ้นมาก หอแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่องาน ยูนิเวอร์แซล เอ็กซิบีชั่น 1889 โดยเฉพาะ ตัวหอสูง 300 เมตร (985 ฟุต) ออกแบบโดย กุสตาฟ ไอเฟล แม้จะถูกพวกปัญญาชนและนักศิลปะทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียหาย แต่กลับเป็นที่ชื่อชมของชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกุสตาฟ ไอเฟล นำธงชาติฝรั่งเศสขึ้นไปประดับไว้บนยอดหอ จึงมีผู้คนออกมาโห่ร้องให้กำลังใจกันอย่างอุ่นหนา ฝาคั่ง หลังจากผ่านการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ กันมานานปี สุดท้ายทางการสื่อสารมวลชนของฝรั่งเศสก็ได้ตัดสินใจดูแลรักษาหอไอเฟลเอาไว้ใช้เป็นสถานีรับ-ส่งสัญญาณ และยังใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้

• ในหอนี้มีร้านอาหารแต่ราคาแพงมาก การขึ้นไปนั้น จะเดินขึ้นหรือใช้ลิฟต์แทนก็ได้ ชั้นที่ 1 เป็นพิพิธภัณฑ์จัดฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับหอไอเฟล วิวที่นี่วิเศษมากไม่ว่าจะยืนมองลอดไปทางใต้โครงเหล็กอันสูงชะลูดขึ้นไปหรือก้มหน้าลงมาชมเมืองปารีสจากบนตัวหอก็ตามวิวจะสวยช่วงหนึ่งคือช่วงหนึ่งชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้…กับกรุ๊ปเลือด

ทราบหรือไม่ว่าการเลือกรับประทานอาหารต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ หลายอย่าง เพื่อที่จะทำให้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง แต่มีปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือการเลือกรับประทานอาหารให้สัมพันธ์กันกับกรุ๊ปเลือดของแต่ละคนด้วย หลายคนคงแปลกใจ และตั้งคำถามขึ้นในใจว่าเกี่ยวด้วยหรือ ลองมาดูกันครับว่าเลือดกรุ๊ปไหนจะเหมาะสมกับอาหารชนิดไหน
กรุ๊ป A คนที่มีเลือดกรุ๊ป เอ จะอ่อนไหวต่อการเป็นมะเร็งได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่น เพราะฉะนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงต้องหมั่นไปตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ สำหรับคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้เคยสังเกตตัวเองหลังดื่มนมบ้างหรือเปล่า เพราะคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้เวลาทานนมเข้าไปแล้วจะมีอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A จะทำปฏิกิริยากับนม เพราะฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวก ข้าวสาลี เนื้อติดมัน นม เป็นพิเศษส่วนอาหารที่ควรรับประทานนั้นได้แก่อาหารจำพวกผักใบเขียว ใบเหลือง รวมทั้งธัญพืชและถั่วต่าง ๆ ยิ่งถ้าทานเข้าไปในปริมาณมาก ๆ ก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ

กรุ๊ป B พวกที่อยู่ในเลือดกรุ๊ปนี้ถือเป็นเลือดที่กำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ ว่ากันว่าเลือด กรุ๊ปนี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อคนเรารู้จักเลี้ยงสัตว์ที่ให้นม คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงสามารถรับประทานนมได้โดยไม่มีอาการเรอเหม็นเปี้ยวเหมือนกับเลือดกรุ๊ป A
นอกจากนมแล้ว อาหารประเภทเนื้อสัตว์ได้แก่ เนื้อกวาง เนื้อกระต่าย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

กรุ๊ป O เลือดกรุ๊ปนี้ถือว่าเป็นเลือดกรุ๊ปแรกที่เกิดขึ้น ดังนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะเป็นคนที่มีสุขภาพที่ดีมาก การเลือกรับประทานอาหารควรเลือกที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ ได้แก่ เป็ด ไก่ ปลา (ยกเว้นหมู) และควรรับประทานผักผลไม้มาก ๆ เนื่องจากคนสมัยโบราณมักจะหากินเนื้อสัตว์ ไม่ได้กินนม เพราะฉะนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงควรหลีกเลี่ยงนม เพราะถ้าดื่มนมมีแนวโน้มว่าจะทำให้แผลเน่าเปื่อย หรือเกิดอาการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่น

กรุ๊ป AB เป็นเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในมนุษย์เรา คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีเพียงแค่ 2 % เท่านั้นเอง คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะมีลักษณะคล้าย ๆ คนเลือดกรุ๊ป B คือระบบการย่อยอาหารนั้นมักจะมีกรดเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ ดังนั้นการเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ควรเลือกรับประทานในปริมาณที่น้อย และอย่าบ่อยจนเกินไป อาจสังเกตได้ถ้ามีอาการเรอบ่อยครั้ง
เป็นอย่างไรบ้างครับ การรับประทานอาหารที่ไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด หลายท่านมีปัญหา หรือมีอาการอย่างที่บอกบ้างหรือเปล่าครับ เพราะฉะนั้นเลือดกรุ๊ปไหนก็ควรเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องนะครับ และอย่าลืมรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ สดและถูกสุขอนามัยด้วยนะครับ ฉบับหน้า"สาระน่ารู้"จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ต้องคอยติดตามนะครับ

Le thé






Le thé est une boisson stimulante, obtenue par infusion des feuilles du théier, préalablement séchées et le plus souvent oxydées. D'origine chinoise, où il est connu depuis l'Antiquité, le thé est aujourd'hui la boisson la plus bue au monde après l'eau. La boisson elle-même peut prendre des formes très diverses : additionnée de lait et de sucre au Royaume-Uni, longuement bouillie avec des épices en Mongolie, préparée dans de minuscules théières dans la technique chinoise du gōngfū chá, la cérémonie du thé. Par analogie, le mot désigne, dans certaines régions francophones une infusion préparée à partir d'autres plantes (par ex. thé de tilleul) bien que l'on doive parler plus proprement de tisane. Il en est de même dans certains pays où le thé ne fait pas partie d'une culture ancienne (Allemands ou Italiens parlent ainsi de « Tee » et de « Tè » quelle que soit la plante utilisée) et où le café prédomine largement le secteur des boissons chaudes.

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มุมมอง"ภาษาวิบัติ" ของคนรุ่นใหม่ในโลกออนไลน์



ลูกสาวผมเรียนชั้น ม.4 อยู่ที่โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ ย่านประชานิเวศน์ 2 หรือ 3 นี่แหละ ที่ต้องอ้างชื่อโรงเรียนเพราะข้อเขียนเที่ยวนี้อาศัยข้อมูลที่เธอจัดทำเป็นรายงานส่งอาจารย์ในวิชาเรียนวิชาหนึ่ง ผมเห็นว่าน่าสนใจขอมาใช้บ้าง เธอก็บอกว่าต้องให้เครดิตไว้ด้วย ก็ให้ไว้เลยตรงนี้ รายงานชิ้นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษาวิบัติครับ กำหนดขอบเขตเฉพาะภาษาแชต, ภาษาเอ็มเอสเอ็น หรือภาษาออนไลน์ แล้วแต่ใครจะเรียก เป็นวิธีการเขียนภาษาไทยที่เพี้ยนไปจากภาษาเขียนโดยปกติ เพี้ยนไปจากภาษาพูดทั่วไปด้วย ขอยกตัวอย่างที่เอาจากเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่เด็กๆ ไปชุมนุมกัน เจ้าของกระทู้ตั้งกระทู้รณรงค์เลิกการใช้ภาษาวิบัติ มีหนึ่งในคำตอบที่สนับสนุน แต่เล่นสนุกโดยเขียนให้มันวิบัติว่า "เหนด้วยมั่กๆ เรยคร่า พาสาวิบัดพวกเน้ เหนทีรายก้องุงิ อ่านม่ะรุเรื่อง ม่ายรุชั้ยกานปัยดั้ยงัย พอๆ...ครั้งแรกในชีวิตที่พิมพ์แบบนี้ รู้สึกตัวเองปัญญาอ่อนยังไงพิกล"ครับ ภาษาแชตหรือภาษาออนไลน์ที่ระบาดไปในกลุ่มวัยรุ่นออนไลน์ รวมทั้งไว้ที่เกินวัย เช่น พวกที่จบปริญญาตรีทำงานแล้วก็ยังเห็นมีใช้กันอยู่บนอินเตอร์เน็ต เป็นภาษาแบบที่ยกตัวอย่าง ตามเว็บบอร์ด ตามบล็อคจำนวนหนึ่ง และโปรแกรมสนทนา หรือห้องสนทนา ระยะหลังๆ มันถูกเรียกว่าเป็นภาษาวิบัติในหมู่คนรุ่นใหม่ด้วยกันเอง และรวมไปถึงถูกเรียกว่า "ภาษาปัญญาอ่อน" ด้วย อันนี้เด็กๆ เขาเรียกกันเองนะครับ ซึ่งมีนัยแตกต่างกันค่อนข้างมากจากสมัยแรกๆ ที่ภาษาแบบนี้ถูกผู้ใหญ่ออกมาว่ากล่าว ลูกสาวผมใช้วิธีถามแบบสอบถามขึ้นบนอินเตอร์เน็ต ผ่านทางเว็บบอร์ดสองแห่ง ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุมของวัยรุ่นอีกเช่นกัน ผลที่ได้มาจากแบบสอบถามก็ค่อนข้างน่าสนใจเหมือนกัน โดยกลุ่มตัวอย่างนั้นกำหนดระดับอายุเอาไว้ไม่เกิน 21 ปี ได้รับคำตอบมาทั้งหมด 40 คน มีอายุต่ำกว่า 12 ปีอยู่คนเดียว 12-14 ปี 6 คนที่มากที่สุดคือกลุ่ม 18-20 ปี 13 คน รองลงมาคือ 15-17 ปี และ 21 ปีขึ้นไป เป็นจำนวนเท่ากันคือ 10 คนขอสรุปรวบยอดนะครับ รูปแบบารสนทนาที่ใช้บ่อยเรียงตามลำดับคือ กระดานข่าว และโปรแกรมสนทนา สุดท้ายคือ เกมออนไลน์ ซึ่งมีไม่มากนัก จำนวนทั้งหมดนี้ ที่ไม่เคยใช้ภาษาวิบัติเลยมีเพียง 4 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม คนใช้เป็นประจำกลับยิ่งน้อยกว่าคือมีแค่ 2 คน นอกนั้นหรือคนส่วนใหญ่อีก 34 คน ใช้บ้างเป็นบางครั้งโดยผู้ใช้เป็นบางครั้งส่วนมากจะใช้เพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้หนักและชัดเจนมากขึ้นในการพิมพ์ เช่น คำว่า "ไม่" ก็จะลากเสียงให้ยาวๆ เป็น "ม่าย" เพื่อแสดงถึงอารมณ์ผิดหวัง หรือใช้เพราะพิมพ์ผิดโดยเข้าใจผิดหรือไม่ได้ตั้งใจ พวกนี้จัดเป็นพวกที่ใช้สำนวนวัยรุ่นได้ว่าใช้นิดหน่อยแบบ "ขำๆ" ไม่ใช่ตะพึดตะพือใช้ไม่เลือกกาละเทศะ น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีกอยู่ตรงที่ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่บอกว่าเห็นด้วยการรณรงค์ให้เลิกใช้ภาษาวิบัติอย่างจริงจัง และคงต้องเน้นย้ำด้วยครับว่ากระดานข่าวสองแห่งที่ใช้เป็นแหล่งเก็บข้อมูแบบสอบถามนั้น เป็นกระดานข่าวเว็บเด็กๆ ที่สนใจในเรื่องการ์ตูน เกม อะนิเมะ มังกะ ชนิดที่ผู้ใหญ่คงไม่แวะเวียนเข้าไปเกะกะ ยกเว้นผู้ใหญ่อย่างผม ที่จริงมีเว็บไซต์หลายเว็บอยู่เหมือนกันที่ผมเข้าเป็นประจำและสังเกตเห็นการต่อต้านภาษาวิบัติในโลกออนไลน์อย่างชัดเจน ทั้งโดยเว็บมาสเตอร์และสมาชิก ซึ่งไม่ใช่คนแก่งั่กอนุรักษ์ลูกเดียวอะไรเทือกนั้น มันอาจจะสะท้อนปรากฏการณ์อะไรบางอย่างในโลกของภาษาที่มีความผันแปรเปลี่ยนแปลงไปได้ อะไรที่คนไม่ยอมรับก็ไม่สามารถคงทนอยู่ได้ในที่สุด