วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การทุจริตในการวิจัยวิทยาศาสตร์

วงการฟิสิกส์ยอมรับว่า Bell Laboratories อันเป็นสถาบันปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ที่ตั้งอยู่ที่ Murray Hill ในรัฐ New Jersey ของสหรัฐอเมริกาเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะเมื่อ 46 ปีก่อนนี้ Walter Brattain, William Schockley และ John Bardeen ซึ่งทำงานประจำที่นี่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ และในปี 2521 Robert Wilson กับ Arno Penzias แห่ง Bell Labs เดียวกันนี้ ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการได้ยินเสียงจักรวาลระเบิด (big bang) เป็นคนแรก เมื่อ 13,000 ล้านปีก่อนโน้นเช่นกัน นี่เป็นเพียงบุคคลเพียงไม่กี่คนในจำนวนนับหมื่นที่ทำงานที่ Bell Labs ซึ่งต่างก็ได้สร้างผลงานคุณภาพที่ทุกคนไว้ใจว่าถูกต้อง และสำคัญตลอดมา

แต่เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2545 สถาบันนี้ก็ประสบภาวะวิกฤติ เมื่อคณะผู้บริหารของสถาบันได้ออกแถลงการณ์ยอมรับว่า Jan Hendick Schon นักฟิสิกส์วัย 32 ปี ผู้ได้ทำงานมานาน 4 ปี เป็นนักฟิสิกส์จอมลวงโลก เพราะผลงาน 17 ชิ้นที่เขาตีพิมพ์ในวารสารวิจัยชั้นนำของโลก มีข้อมูลที่เป็นเท็จมากมายเช่น Schon ได้อ้างว่า C60 ซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า Buckminster fullerene นั้น สามารถเป็นตัวนำยวดยิ่ง (superconductor) ได้ที่อุณหภูมิ -221 องศาเซลเซียส หรือการที่ Schon อ้างว่าเขาสามารถทำให้พลาสติกบางประเภทเป็นตัวนำยวดยิ่งได้ ฯลฯ ซึ่งผลงานเหล่านี้แต่ละชิ้นได้สร้างความฮือฮาให้กับวงการฟิสิกส์มาก เพราะสำคัญพอที่จะอยู่ในสายตาของคณะกรรมการรางวัลโนเบลได้ทั้งสิ้น และเมื่อ Schon สามารถผลิตงานวิจัยได้เร็วถึง 8 วันต่อผลงาน 1 ชิ้น ซึ่งในประวัติศาสตร์ของฟิสิกส์ไม่มีใครเคยทำงานได้ผลมากและดีเท่านั้น ใครๆ จึงพากันคิดว่า Schon คือ Tiger Woods ของฟิสิกส์เป็นแน่ เพราะทุกคนต่างก็รู้สึกทึ่งในความสามารถที่ล้นเหลือ และโชคที่ล้นหลายของ Schon ไปตามๆ กัน

แต่เมื่อนักฟิสิกส์บางคนอ่านงานวิจัยของ Schon กับคณะแล้ว ได้พยายามทำการทดลองซ้ำ โดยใช้สารตัวอย่างและวิธีการเดียวกับที่ Schon ทำ เขากลับไม่ได้ผลลัพธ์ดังที่ Schon กล่าวอ้างในวารสารเลย คนหลายคนจึงอดแปลกใจสงสัยไม่ได้ว่า บรรดากราฟและตัวเลขที่ Schon นำเสนอนั้น เป็นตัวเลขเลื่อนลอย หรือเป็นกราฟในจินตนาการกันแน่

ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของ Schon เกิดขึ้น เมื่อกราฟที่ Schon นำเสนอในการทดลองเรื่องสารกึ่งตัวนำ (semiconductor) กับในเรื่องตัวนำยวดยิ่งเป็นกราฟเส้นเดียวกัน ทั้งๆ ที่สารทั้งสองมีความแตกต่างกันมาก

เมื่อข้อมีกล่าวหา และมีผู้กล่าวหา คณะผู้บริหารของ Bell Labs จึงได้ตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคคลภายนอกเป็นหัวหน้าพิจารณาข้อกังขา คณะผู้สอบสวนได้สัมภาษณ์ Schon และคณะวิจัยที่ทำงานร่วมกับ Schon ได้ตรวจสอบเทปคอมพิวเตอร์ที่ Schon ใช้และตรวจห้องปฏิบัติการที่ Schon ทำงาน จนได้ข้อสรุปว่า Schon คดโกงตัวเลขอย่างเจตนา

เมื่อหลักฐานการทุจริตปรากฏชัด และผู้กระทำผิดยอมรับ Schon ก็ถูกไล่ออกจากงานทันที

ถึงแม้ชีวิตทำงานของ Schon จะจบสิ้น แต่ผลกระทบที่เกิดจากการคดโกงดังกล่าว ก็ยังไม่จบสิ้น เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องสูญเสียเงินทองให้นักวิจัยอื่นทำการทดลองหาสิ่งที่ไม่มีในธรรมชาติ และนักวิจัยเองก็ต้องเสียเวลาค้นหาสิ่งที่ไม่มี และเพื่อป้องกันการทุจริตอีก Bell Labs จึงได้วางกฎเกณฑ์ใหม่ว่า ให้นักวิจัยที่ต้องการส่งผลงานออกไปลงพิมพ์ในวารสารต้องเผยแพร่ ผลงานดังกล่าวให้นักวิจัยคนอื่นๆ ที่ทำงานประจำที่ Bell Labs อ่านก่อน เพื่อเป็นการตรวจสอบเบื้องต้น

ส่วนกองบรรณาธิการวารสารที่ลงพิมพ์งานวิจัยนั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะคนทุกคนตระหนักว่า ระบบการตรวจสอบคุณภาพของงานวิจัยจะต้องรอบคอบมากขึ้น และดีขึ้น

แต่ในโลกของความจริงนั้น นักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้ดีว่า วงการนี้มีการแข่งขันกันมาก และทุกคนต้องการให้ผลงานของตนได้รับการตีพิมพ์เร็วและมาก เพราะจะได้ชื่อเสียง ตำแหน่งทางวิชาการหรือทุนวิจัย ดังนั้นแทนที่จะทำงานอย่างรอบคอบ นักวิจัยที่คดโกงก็จะรีบเขียนผลงานขึ้นมาโดยใช้ตัวเลขปลอม หรือทฤษฎีที่เหลวไหลแล้วส่งผลงานไปยังกองบรรณาธิการของวารสารเพื่อรับการพิจารณาลงพิมพ์ ถ้าบรรณาธิการวารสารแต่งตั้งผู้ประเมินไม่อ่านหรือไม่ตรึกตรอง ผลงานชั่วชิ้นนั้นก็จะหลุดออกสู่บรรณโลกทันที แต่ถ้ากรรมการประเมินมีเวลาทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผลงานนั้นก็จะถูกปฏิเสธการลงพิมพ์

แต่เราก็คงต้องยอมรับว่า จะมีกรรมการประเมินบางคนที่ทำงานไม่ละเอียด ที่ไม่ยอมเสียเวลาอ่านและตรวจสอบงานที่ตนกำลังประเมิน กรรมการลักษณะนี้จึงจับเท็จ จับโกหกหรือจับโกงไม่ได้ และเมื่อการตรวจผลงานนั้น บางครั้งก็ไม่มีเงินสมนาคุณค่าตรวจให้ กรรมการประเมินจึงอาจทำงานแบบไร้แรงจูงใจ และไร้ความรอบคอบได้ นอกจากนี้เมื่อวารสารวิชาการทุกวารสารมีนโยบายแข่งขันกันในการนำเสนอผลงานที่สำคัญอย่างเร่งด่วน เพื่อการได้ศักดิ์ศรีว่าเป็นวารสารชั้นนำ ดังนั้นในบางครั้งกรรมการประเมินก็อาจทำงานอย่างเร่งรีบ โดยไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดใดๆ

เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงตามที่กล่าวมานี้ มีส่วนทำให้เราเห็นการตรวจสอบงานวิจัยของวารสารว่ามีจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไขมากมาย และเมื่อไม่มีระบบตรวจสอบใดที่ดีเลิศประเสริฐศรี 100% วงการวิชาการจึงยังยอมรับว่า การเลือกผู้ประเมินที่เหมาะสมเป็นมาตรการตรวจสอบที่ดีที่สุด

ก็ในเมื่อเราไม่มีทางทำให้นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเป็นคนตรงได้ หนทางที่ดีที่สุดคือ ต้องหาทางไม่ให้คนคดเหล่านั้นมีโอกาสเผยแพร่ผลงานของตน ในวารสารใดๆ โดยใช้ผู้ประเมินที่มีคุณวุฒิและมีเวลาให้กับการประเมินอย่างเต็มที่ และเมื่อเราไม่มีวันมีผู้ประเมินคนใดที่มีสเป็กดังกล่าวนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่อ่านบทความที่นำเสนอในวารสารก็น่าจะเป็นผู้ประเมินที่ดีที่สุด

ชีวิตของ Schon ให้บทเรียนแก่เราว่า หากใครคิดจะโกงก็อย่าโกงมาก อย่าโกงบ่อย หรือโกงตลอดเวลาเช่น Schon เพราะผู้คนที่เขาอ่านงานวิจัย เขาจะทึ่ง เขาจะสนใจแล้วเขาก็จะตรวจสอบ แล้วเขาก็จะจับได้ว่าเราโกง แล้วเราก็จะไม่เหลืออะไร เรื่องนี้ผมหมายถึงการคอร์รัปชั่นด้วยครับ

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตเรานั้น ไม่ธรรมดา-Let it go and have fun

อย่ายอมให้เมื่อวานขโมยวันพรุ่งนี้ของเราไป

อย่ายอมให้อดีตฉุดรั้งเราจนไม่กล้าก้าวต่อไปข้างหน้า



อย่ายอมถอยหลัง และรู้สึกด้อยเพียงเพราะต้นทุนเราไม่เหมือนคนอื่น







ไม่แปลกหรอกที่เราจะมีวันเก่าๆ ที่ปวดร้าว



ยอมรับอดีต



แต่อย่ายอมให้อดีตเป็นตัวกำหนดอนาคต



ชีวิตนั้นเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ



ชีวิตนั้นสามารถนับหนึ่งใหม่ได้เสมอ







ไม่แปลกหรอกที่เราจะพ่ายแพ้



และมีแผลเก่าเยอะเต็มตัวเต็มหัวใจไปหมด



รู้ไหม มันทำให้เราแข็งแกร่ง



และเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงได้อย่างที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้







ยิ่งพลาดมากๆ



ก็ยิ่งอิ่มเอมใจกับความสำเร็จได้ดี



เพราะขวากหนาม หุบเหว เปลวไฟ ที่ผ่านพ้นมาได้



มันตอกย้ำทำให้เรารู้สึกเสมอว่า....



”ชีวิตเรานั้น ไม่ธรรมดา”





“Don’t allow yesterday’s mistake to steal your tomorrow’s dream

and hope.Don’t allow yesterday’s success to stop your next move.



Accept the way thing happens even though it is not what you expect.



It is still okay. Follow your desire, make sure what you choose is what your heart desires.



Let it go and have fun!!!



Let it be and have fun!!!”

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Twitter หรือ Micro Blogging คืออะไร?

เป็นการส่ง message ระหว่างสมาชิกที่มี connection กันด้วยระบบ RSS feed ส่งข้อความผ่านสื่อสองทาง เช่น SMS , instant message, email, Twitter's web site หรือโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่เขียนข้อความได้จำกัดจึงเกิดคำเรียกอีกคำว่า "micro blogging" และข้อความที่ส่งถึงกันมีศัพท์เรียกว่า "Tweets" ซึ่งเปรียบเหมือนเสียงนกร้องอยู่ตลอดเวลา ข้อความที่จะส่งนั้นต้องเป็น plain text เท่านั้นจะแทรกคำสั่งโปรแกรมอะไรไม่ได้ ยกเว้นแต่ hyperlink มายังเว็บเพจของเรา ที่สามารถใส่ไปได้ โดยระบบจะจัดการต่อให้เอง

คนที่ใช้ Twitter โดยมากเป็น blogger ทั่วไปที่ต้องการสื่อสารให้พรรคพวกได้updateแบบรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของโลก โดยเริ่มมากจากคำถามที่ว่า What are you doing? แต่ข้อเสียในการใช้งานแบบส่วนตัวเกินไปก็มีมาก เช่น การส่ง message ว่า หิวข้าว อยากกินส้มตำ อยากไปดูหนัง ไปเที่ยวกับแฟนมา ไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว ฯลฯ ซึ่งสร้างความรู้สึกที่น่ารำคาญกับผู้รับ Tweets ที่ไม่ได้สนิทสนมด้วย

เดิม Twitter มีจุดประสงค์สำหรับใช้สื่อสารแบบส่วนตัว และไม่เป็นทางการ จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งข้อรังเกียจ แต่ตอนหลังๆ คนเริ่มพยายามนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในทางการตลาด ซึ่งนับว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลว เพราะ Twitter บริการส่ง SMS แบบ Broadcasting โดยไม่คิดค่าบริการ ตัวอย่างการนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์ก็ เช่น

ใช้ในการโฆษณาบอกกันแบบปากต่อปาก ระหว่างสมาชิกด้วยกัน
ใช้สื่อสารข้อความสั้นๆภายในองค์กร ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ
เหมาะกับกลุ่มที่ทำงานขายงานตลาดในเครือข่ายเดียวกันจะใช้ในสื่อสารบอกความคืบหน้า update ข้อมูลกันและกัน หัวหน้าทีมที่มีผู้ติดตามมากก็จะได้ประโยชน์มากหน่อย เพราะสามารถสั่งงานได้ฉับพลันทันที รับรายงานได้ทันที
ใช้สื่อสาร update กับผู้อ่าน กลุ่มสมาชิก ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
ใช้เป็นช่องทางให้ความรู้ที่น่าสนใจแก่สมาชิกกลุ่ม เพิ่ม value ให้กับผู้มอบความรู้
ใช้แสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะแบบ real time ในหมู่สมาชิก
ใช้รณรงค์ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมเพื่อสังคม หรือ สาธารณประโยชน์กับกลุ่มสมาชิก
สำนักข่าว สามารถใช้ส่ง headline news ให้กับสมาชิก
บริษัท ห้างร้าน ใช้ส่งข้อความตามเทศกาล ส่งข่าวเกี่ยวกับสินค้าโปรโมชั่น
การใช้ Twitter จึงเหมือนกับการสื่อสารทางตรงของสมาชิกผู้หนึ่งกับสมาชิกกลุ่มป้าหมาย ซึ่ง connect กันในระบบ online networking ด้วยวิธี broadcasting sms

Social Networking คืออะไร ?

Social Networking ในที่นี้หมายถึงเฉพาะที่เป็นแบบ online ที่สมัครสมาชิกกันได้ฟรีๆ แล้วก็ส่ง message ผ่านทาง instant message หรือ email ไปชักชวนคนอื่นมา connect ด้วย เมื่ออีกฝ่ายดูประวัติคนส่งแล้ว เกิดความสนใจก็ connect กลับ การได้เพื่อนแบบนี้ นอกจากจะได้รู้จักคนที่ connect กันโดยตรงแล้วยังสามารถ connect กับเพื่อนของเพื่อนนั้นได้อีกด้วย จะ connect ไปได้กี่ชั้นก็แล้วแต่ขอบเขตการบริการของผู้ให้บริการนั้น

ส่วนมากบริการทำนองนี้มักจะถูกมองไปในเรื่องของการหาคู่ โดยที่ต่างคนต่างโพสประวัติ (จริงไม่จริง มีคนดียวที่รู้ดี) รูปสวยๆ หล่อๆ ดูภูมิฐาน ไว้ก่อน คุยกันไปคุยกันมาก็กลายเป็นคู่รัก แต่งงานกันไป แต่ที่ถูกหลอกลวงน่าจะมีมากกว่า (ละมัง)

ถ้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ก็ต้องเลือกเครือข่ายที่ให้บริการด้านธุรกิจ เช่น ecademy.com เป็นต้น ในนั้นสมาชิกจะแสดง profile ของตนไว้ พร้อมทั้งเขียน Tag ระบุคุณสมบัติของตัวเอง ของธุรกิจ หรือของสินค้าบริการที่มานำเสนอ เมื่อคนอื่นในเครือข่าย search พบแล้วติดต่อมา ก็จะมีการ add contact พูดคุยกันทางกล่องmessageในเว็บไซต์, instant message อย่าง Skype, MSN, Yahoo หรือ email เป็นการเริ่มต้นสานความคิดและเครือข่ายทางธุรกิจ หรือต่อขาธุรกิจออกไปในกลุ่มนักธุรกิจหรือผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจ นักลงทุน นายธนาคาร นักประดิษฐ์คิดค้น คนให้คำปรึกษา ที่มาพบกันในนั้น มีการแนะนำต่อๆกัน เป็นการแสวงหาและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งถ้าทำอย่างมืออาชีพจะเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพ หรือเป็นเจ้าของธุรกิจใหม่ๆได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

ของฟรี ไม่มีในโลกฉันท์ใด บริการที่สร้างโอกาสให้กับสมาชิกก็ย่อมต้องมีการลงทุนบ้างฉันท์นั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เว็บไซต์ที่ให้บริการ social networking นี้จะมีการเก็บค่าสมาชิกตามระดับความได้เปรียบในการเข้าถึงข้อมูลของสมาชิกในกลุ่ม ยิ่ง upgrade สูงเท่าไรก็มีโอกาสได้พบปะนักธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น แถมยังมีสิทธิพิเศษ ได้รับส่วนลดในการร่วมประชุม พบปะสังสรรค์ ฟังอบรม สัมนาที่ผู้ให้บริการร่วมกับสมาชิกผู้มีคุณวุฒิที่ได้รับเชิญมาบรรยายอีกด้วย

ทำไมต้อง Twitter ?

คำตอบอยู่ที่ว่าจะใช้ทำอะไร กับใคร เพื่ออะไร ต่างหาก ถ้าจะใช้ส่วนตัวแบบ ส่งข้อความกับเพื่อนๆ ก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ แต่ถ้าจะใช้ในเชิงธุรกิจ หรือ วิชาการ หรือเพื่อทำสิ่งที่สร้างสรรค์กับตัวเองและผู้อื่น ก็น่าจะลองพิจารณาดู

จะเลือก follow ใคร และ ใครจะมา follow เรา ?

ใครที่มีแนวความคิดที่น่าสนใจ ช่วยเติมเต็มสิ่งที่เราขาด ช่วยเพิ่มพูนสติปัญญาความรอบรู้ด้านที่เราสนใจ เป็นผู้นำทางความคิด เป็นคนรู้เท่าทันข่าวสาร ที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติอะไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเอง อาจจะต้องการคนสนุกสนานที่จะคอย feed joke ให้เราอารมณ์ดีก็ได้

เมื่อสมัครไปแล้ว เขาจะเห็นเรา ถ้าเขาสนใจตามเรากลับมาแล้ว add เราบ้าง ก็จะกลายเป็นการสื่อสารถึงกันและกัน ต่อไปก็ต้องพยายามโปรโมทตัวเองด้วยการส่ง email ถึงเพื่อนที่เราอยากให้ใช้ Twitter เขียนบทความให้คนรู้ ทำประชาสัมพันธ์ในชุมชนออนไลน์ที่มีคนที่น่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ แล้วรอดูผล ขณะเดียวกันก็ต้องเริ่ม contribute ด้วยการส่ง Tweets เมื่อทำไปสักพัก อาจจะพบกับพวกที่ชอบส่งเสียงในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ต้องมีมาตรการดูแลและจัดการด้วยเหมือนกัน เช่น ไม่สนใจ หรือ ไม่ก็พิจารณาตัดออกไปจากสาระบบของเราเสีย

ในระบบจะมีสถิติให้สมาชิกดูว่า สมาชิก follow ใครอยู่กี่คน มีคนมา follow สมาชิกกี่คน มี favourite tweets กี่ข้อความ เป็นต้น

ใช้ Twitter อย่างไรให้ถูกต้อง ?

Tweets ที่ส่งออกไปทั้งหมดจะปรากฎอยู่ใน profile สมาชิกและจะอยู่ต่อไปถ้าไม่มีการจัดการบ้าง และส่วนที่ยังปรากฎอยู่จะแสดงถึงลักษณะความเป็นคุณ (หรือคุณในโลกออนไลน์) อยู่อย่างนั้น ฉะนั้นจงคำนึงถีงสิ่งเหล่านี้ด้วย

อย่าส่งเสียงน่ารำคาญ เพราะชื่อก็บอกว่าเป็น เสียงนก ดังนั้นถ้าใช้แบบ "เสียงนก เสียงกา" ก็จะไม่มีคนให้ความสนใจได้เหมือนกัน จึงควรต้องระมัดระวัง เลือกคำให้สั้น ให้เหมาะและได้ใจความ เหมือนที่คุณจะใช้หากมีโอกาสได้คุยกับประธานบริหารของธนาคารที่คุณขอกู้เงินในเวลาเพียง 30 วินาที ฉะนั้นจึงอาจต้องฝึกกันบ้าง หรือวางแผนไว้บ้าง
อย่านิ่งเงียบไป ต้องส่งข้อความให้คนอื่นรู้ว่ายังไม่ตายไปจากโลกนี้
ลองอะไรใหม่ๆดูบ้าง ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น (ถ้าจะคิดแบบธุรกิจ) บางทีกฎเกณฑ์ก็กลายเป็นข้อจำกัดของการประยุกต์ความคิดสร้างสรรค์ได้เหมือนกัน
ปรับตัวให้เร็ว ถ้าสิ่งที่ทดลองทำนั้นไม่ได้ผล ก็อย่าทู่ซี้ทำต่อไป ไม่งั้นจะเกิดผลเสียตามมา เว้นแต่เชื่อมั่นว่ามันจะได้ผลแต่อาจจะยังไม่ถึงเวลา ก็อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเอง
อย่าใช้ Twitter เป็น SMS โต้ตอบกับใครเป็นการส่วนตัวจนดูไม่เป็นProfessional ถ้าจำเป็นก็ควรยกหูโทรศัพท์คุยหรือส่ง IM แทน
ในกรณีที่ต้องคุยใช้ Tweet บอกใครหรือกลุ่มของใครเป็นการเฉพาะ ควรใส่เครื่องหมาย @หน้าชื่อคนนั้นๆ หรือใช้สีที่แตกต่างกัน
เพื่อตัดปัญหาเวลาคนรับ Tweets ไม่ได้ flollow ทุกคนในกลุ่มที่เราส่ง SMS เขาจึงได้ข้อความไม่ครบ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ จึงควรใช้ถ้อยคำที่ผู้อ่านสามารถจับความได้เป็นดีที่สุด หรือไม่ก็เลือกสื่อสารทางอื่นแทน
อย่าพยายามขายอะไรใน ธweets เพราะมันจะไม่ work ลองสำรวจดู100 คำที่ไม่ควรใช้ใน email ในเรื่องนี้ก็ดีค่ะ เพราะคนทั่วไปไม่มีใครชอบจดหมายขายสินค้า หรือใช้วิธี hard sell
ก่อนส่ง ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นผู้รับ Tweet นั้น เราจะอยากเป็น follower ของคนนั้นไหม
ส่ง Tweet อย่างไรดี ?

การส่งทาง email แล้วข้อความถูกส่งไปทั้งบนเว็บ และ sms ประหยัดไปได้มาก แต่ต้องใช้ program จาก lifehack.org เพื่อส่ง tweet ทาง email ใน twitter หรือจะใช้ skype หรือใช้ โปรแกรมที่เรียกว่า swype ก็ทำได้เช่นกัน

เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์กับชีวิตประจำวัน ที่เก็บเกี่ยวมาจากการอธิบายของ Caroline Middlebrook เกี่ยวกับ Twitter ซึ่งช่วยคลายข้อสงสัยไปได้มากเหมือนกันค่ะ เพราะก่อนหน้านี้เห็นคนบ่นเกี่ยวกับพวก Twitter ว่าเต็มไปด้วยข้อความไร้สาระ แต่พอมีคนชี้ให้เห็นว่าถ้าเอามาใช้ให้ดีก็น่าสนใจเช่นกัน

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อยากรู้ไหมว่า"การต่อสู้แบบอหิงสา"เป็นยังไง

อหิงสา เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง การไม่เบียดเบียนหลักในการต่อสู้แบบอหิงสาหรือสันติวิธี คือไม่ใช้ความรุนแรงเรียกการต่อสู้ลักษณะเช่นนี้ว่า ยุทธวิธีไร้ความรุนแรง
เป็นการยากที่จะกล่าวถึงอหิงสาโดยละเลย “คานธี” ผู้นำชาวอินเดียที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยอินเดียจากการยึดครองของอังกฤษ โดยใช้ยุทธวิธีอหิงสาเป็นหลักในการต่อสู้ คานธี เชื่อว่าอหิงสามิใช่ "การหลบลี้หนีหน้าจากการต่อสู้กับความชั่วร้าย" อย่างที่มักจะมีผู้เข้าใจผิดว่า วิธีการต่อสู้แบบอหิงสาคือการนิ่งเฉยไม่ไยดีกับเรื่องต่าง ๆ ในทางตรงกันข้าม อหิงสาคือการต่อสู้กับความชั่วร้าย ความอยุติธรรม ความรุนแรง ฯลฯ ด้วยวิถีทางของจิตใจและศีลธรรม โดยหลักเบื้องต้นและพื้นฐานที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงที่จะใช้ความรุนแรงและตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม หากแต่จะอาศัยพลังแห่งความจริง ความรัก และความเมตตา กระตุ้นเตือนให้อีกฝ่ายสำนึกตระหนักในความเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจเบียดเบียนและใช้ความรุนแรงกับคนอื่นได้

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการต่อสู้แบบอหิงสาก็คือการอดอาหารประท้วง เพราะในขณะที่ผู้ประท้วงทำให้ตัวเองลำบากโดยการอดข้าวอดน้ำอยู่ นั่นคือการสื่อสารทางจิตวิญญาณสื่อสารกับ “หัวใจ” (ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของความรักความเมตตา) ของฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้เขาสำนึกในความเป็นมนุษย์ที่มีความเมตตา สงสาร และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่รุนแรง อยุติธรรม ฯลฯ ในที่สุด ในแง่นี้จะเห็นว่า อหิงสาหรือสันติวิธีเป็นแนวทางการต่อสู้ที่เชื่อมั่นและศรัทธาในความดีงามของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม สันติวิธีในแบบของคานธีก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความผูกพันกับศาสนาอยู่ค่อนข้างสูง คานธี เคยกล่าวว่า “When there is ahimsa, there is truth and truth is God” ชัยชนะของสันติวิธีแบบนี้จึง "รับได้” ในทางจิตวิญญาณมากกว่าโลกของกายเนื้อ และทั้งต้องมีความศรัทธาในศาสนาและอดทนต่อความยากลำบาก ความทุกข์ทรมานที่จะได้รับจากการประท้วงเช่นนี้มากทีเดียว

หากแต่สันติวิธีในทางสังคมวิทยาไม่ได้ขึ้นอยู่กับศรัทธาทางศาสนา ทฤษฎีของยีน ชาร์ป (Gene Sharp) กลับพุ่งไปที่เรื่องของ "อำนาจ” เขาเน้นว่าอำนาจไม่ใช่สิ่งซึ่งทรงพลังโดยตัวของมันเอง แต่เป็นเรื่องของการยอมรับ การเชื่อฟัง อำนาจจึงจะดำรงอยู่ได้ ดังนั้นการต่อสู้กับ “อำนาจ" สำหรับแนวทางอหิงสาหรือสันติวิธีทางสังคมวิทยาแล้ว ก็คือการปฏิเสธอำนาจ การไม่ยอมรับ การไม่เชื่อฟัง ไม่ให้ความร่วมมือ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งซึ่งรับรู้ได้ในโลกวัตถุ

ในแง่นี้ สันติวิธีก็ยังเป็นแนวทางที่เคารพในมนุษย์ ในอำนาจที่มนุษย์สามารถกระทำได้ เช่น การไม่ซื้อสินค้าจากบริษัทที่คดโกง ขูดรีด ไม่รับฟังข่าวสารจากสื่อมวลชนที่ไม่เป็นกลางไปจนถึงการไม่ให้ความร่วมมือและไม่เชื่อฟังรัฐที่ปกครองโดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นอำนาจที่ปัจเจกบุคคลสามารถกระทำได้ทั้งสิ้น

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เเง่คิดดีๆ ในชีวิต

แง่คิดดีๆ ในการใช้ชีวิต:
Think Good & Live Happily

อย่าเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับของคนอื่นเพราะคุณไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาพวกเขาเจออะไรมาบ้าง
Don't compare your life to others. You have no idea what their journey is all about.



อย่าเพิ่งมีความคิดที่ไม่ดีในสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ แต่จงใช้พลังงานของคุณในการคิดถึงแต่สิ่งดีๆแทน
Don't have negative thoughts or things you cannot control. Instead,

invest your energy in the positive present moment.



อย่าทำอะไรเกินตัว ต้องมีลิมิตของตัวเอง
Don't over do. Keep your limits.



อย่าซีเรียสกับชีวิตให้มากนัก
Don't take yourself so seriously. No one else does.



อย่าเสียเวลาอันมีค่าของคุณไปกับการนินทาชาวบ้าน
Don't waste your precious energy on gossip.



จงฝันในขณะที่คุณตื่นให้มากขึ้น
Dream more while you are awake.



ความอิจฉาเป็นเรื่องเสียเวลา คุณจะอิจฉาไปทำไมในเมื่อคุณก็มีทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว
Envy is a waste of time. You already have all you need.

จงลืมๆเรื่องในอดีตไปเสียบ้าง และอย่าขุดเรื่องผิดพลาดของเพื่อนและคนใกล้ตัวคุณขึ้นมาพูดอีก

เพราะมันจะทำลายความสุขในปัจจุบันของคุณ

Forget issues of the past. Don't remind your partner with his/her mistakes of the past.



ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ฉะนั้นอย่าได้เกลียดใครให้เสียเวลาเลย
Life is too short to waste time hating anyone. Don't hate others.


จงสร้างสันติภาพกับอดีตของคุณ แล้วมันจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายคุณในปัจจุบัน
Make peace with your past so it won't spoil the present.



ไม่มีใครควบคุมความสุขของคุณได้ ตัวคุณเองนั่นแหละ
No one is in charge of your happiness except you.



ระลึก ไว้เสมอว่าชีวิตเราก็เหมือนโรงเรียน เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อเรียนรู้

ปัญหาต่างๆก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในบทเรียนซึ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่วิชาที่คุณได้เรียนรู้นั้นมันจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต
Realize that life is a school and you here to learn.

Problems are simply part of the curriculum that appear and fade away like algebra class but the lessons you learn will last a lifttime.


ยิ้มและหัวเราะให้มากๆ
Smile and laugh more.



คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกการโต้แย้ง จงยอมรับในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยเสียบ้าง
You don't have to win every argument. Agree to disagree.

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

10 วิธี กินให้มีสุขยุคอาหารแพง

กรมอนามัย เผย 10 วิธีกินให้มีสุขยุคอาหารแพง พร้อมลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพและเพิ่มคุณค่าทางโภชาการในแต่ละมื้อ หวังสร้างสุขภาพดี ลดปัญหาโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอ้วน

นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงวิธีการกินอย่างมีสุขภาพดีในยุคอาหารแพงว่า

ปัจจุบันการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพจำเป็นต้องยึดหลักความเหมาะสมและพอเพียง โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุขที่เกิดจากการกินอาหารในปริมาณมากเกินไป ไม่ถูกหลักโภชนาการ ส่งผลให้เกิดภาวะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนลงพุงตามมา ซึ่งเป็นปัญหาที่กรมอนามัยจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะคนที่อ้วนลงพุงเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วนลงพุง 3 เท่า มีความดันโลหิตสูงและไขมันคอเรสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันตัวร้ายมากกว่า 2 เท่าตัว และคนอ้วนลงพุงจะเสียชีวิตจากโรคหัวใจวายมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าตัว

นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า เพื่อลดปัญหาและสร้างสุขภาพดีให้กับตนเอง ประชาชนจึงควรนำหลักพอเพียงมาใช้ในการกินอาหารแต่ละมื้อด้วย โดยกินเพื่อให้ได้สารอาหารและพลังงานที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน หากรู้สึกอิ่มให้ลดหรืองดการกินเพราะความอยาก ความอร่อย กินอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ไม่กินแล้วทำร้ายร่างกาย เช่น กินมากไป น้อยไป หรือกินอาหารรสหวาน เค็ม มันมากไป หรือสร้างพฤติกรรมการกินอย่างง่ายภายใต้หลัก 10 วิธีกินในยุคอาหารแพง


วิธีกินให้มีสุขยุคอาหารแพง

1) กินพออิ่มในแต่ละมื้อ โดยตักอาหารกะปริมาณพอดี เช่น ตักข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผัก 4-6 ช้อนกินข้าว เนื้อสัตว์ 2-3 ช้อนกินข้าว แล้วตามด้วยผลไม้ 1-2 ส่วน ตามด้วยน้ำสะอาด 1-2 แก้ว ก็เพียงพอ

2) ดัดแปลงอาหารที่เหลือเป็นอาหารจานใหม่ เช่น ผัดคะน้า นำมาต้มจับฉ่ายผสมกับผักอื่น ๆ น้ำแกงส้มที่เหลือสามารถเติมถั่วฝักยาวมะละกอ แครอท ผักบุ้ง ส่วนผลไม้ที่เหลือหลายชนิดนำมาทำเป็นสลัดผลไม้ หรือ ปลาทูที่เหลือนำมาตำน้ำพริกปลาทูกินกับผักสด ผักลวกต่าง ๆ ทำให้ได้อาหารจานใหม่ และใช้ประโยชน์จากอาหารได้คุ้มค่าไม่มีอาหารเหลือทิ้ง

3) ทำอาหารปริมาณมากกินได้หลายมื้อ เช่น ต้มไข้พะโล้หนึ่งหม้อกินได้ทั้งวัน อาจเติมหน่อไม้จีนหรือผักอื่น ลงไปด้วยหรือกินร่วมกับผักสด เช่น แตงกวา ผักกาดหอมหรือผักกาดขาวหรือคะน้าลวก

4) หุงข้าวผสมข้าวโพด ถั่ว เผือก มัน ใส่เพื่อเพิ่มวิตามินและยังได้สารอาหารอื่น ๆ เพิ่มด้วย และตอนนี้ข้าวราคาแพงจึงใส่ข้าวโพด ถั่ว เผือก มัน เสริมเข้าไปในข้าว จะทำให้ใช้ข้าวในปริมาณน้อยลงด้วย

5) ปรับเมนูอาหารคุณภาพดีราคาถูก เช่น ไข่พะโล้ เพราะปกติใส่หมูกับไข่เท่านั้น ก็เปลี่ยนจากหมูมาเป็นเต้าหู้แทนก็ได้

6) ลดการกินจุบกินจิบ กินอาหารหลัก 3 มื้อก็เพียงพอแล้ว อาหารว่างเป็นผลไม้หรือนม

7) งดการกินอาหารมื้อดึก เพราะถ้ากินอาหารมื้อดึกเข้าไปแล้วในช่วงเวลานั้นไม่มีการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายใด ๆ มีแต่การนอนทำให้ร่างกายเผาผลาญอาหารที่กินไปน้อยมากและจะสะสมเป็นไขมันแทนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได

8) เคี้ยวอาหารช้าๆ อย่ารีบร้อน ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่าเพราะร่างกายคนเราจะเริ่มรู้สึกอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที

9) ไม่กินทิ้งขว้าง เพราะปัจจุบันอาหารเกือบทุกชนิดมีราคาสูง และ

10) เน้นกินอาหารไทย เช่น ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน แทนอาหารจานด่วนตะวันตก นอกจากราคาถูกกว่าแล้วยังให้สารอาหารครบถ้วนและสมดุล”

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

โรคไหนๆก็แพ้เกลือ

เชื่อไหมว่าเรามียาดีประจำบ้านกันทุกคน ก็เกลือที่อยู่ในครัวนี่เอง...

1. ไอเพราะเป็นหวัด
แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว

2. มึนหัว สมองไม่แล่น
สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้ปรู๊ดปร๊าด เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลงไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง

3. เร่งให้อาเจียน
ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ

4. คัดจมูก
จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที

5. คันตามผิวหนัง
ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์

6. โรคตาแดง
โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง

7. แผลยุงกัด
ถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็วด้วย

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กำเนิดว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออิ่มอวบ จัดอยู่ในตระกูลลิเลี่ยม ( Lilium ) แหล่งกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในชานฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปอาฟริกา พันธุ์ของว่านหางจระเข้มีมากมายกว่า 300 ชนิด ซึ่งมีทั้งพันธ์ที่มีขนาดใหญ่มากจนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้ก็คือ มีใบแหลมคล้ายกับเข็ม เนื้อหนา และเนื้อในมีน้ำเมือกเหนียว ว่านหางจระเข้ผลิดอกในช่วงฤดูหนาว ดอกจะมีสีต่างๆกัน เช่น เหลือง ขาว และแดง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของมัน

คำว่า " อะโล" ( Aloe ) เป็นภาษากรีซโบราณ หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งแผลงมาจากคำว่า "Allal" มีความหมายว่า ฝาดหรือขม ในภาษายิว ฉะนั้นเมื่อผู้คนได้ยินชื่อนี้ ก็จะทำให้นึกถึงว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้เดิมเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อนต่อมาได้ถูกนำไปแพร่พันธุ์ในยุโรปและเอเชีย และทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังเกิดกระแสนิยมว่านหางจระเข้กันเป็นการใหญ่

นับเป็นหลายศตวรรษที่หลายประเทศรู้จักใช้ว่านหางจระเข้รักษาโรคต่างๆมากมาย เนื่องจากมีคุณวิเศษในการรักษาแผลไฟลวก รักษาแผลทั่วไปและระงับความเจ็บปวด รวมทั้งรักษาโรคเรื้อนกวาง ในกรณีของโรคเรื้อนกวางนี้ ถ้าใช้สม่ำเสมอจะลดการตกสะเก็ดและอาการคัน รวมทั้งช่วยให้แผลดูดีขึ้น จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ โรมัน กรีก แอลจีเรีย ตูนีเซีย อาหรับ อินเดียและจีน มีการรายงานใช้พืชนี้เป็นทั้งยาและเครื่องสำอาง แม้แต่พระนางคลีโอพัตราก็รักษาความงามและความมีเสน่ห์ของพระองค์ด้วยวุ้นของว่านหางจระเข้

ก่อนคริสต์ศักราช 1500 ( หรือ 1000 ปีก่อนพุทธศักราช ) มีรายงานของชาวอียิปต์ที่ถือว่าเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดกล่าวถึงสรรพคุณมากมายของว่านหางจระเข้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรู้จักใช้พืชชนิดนี้มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว ในตำราสมุนไพรที่มีชื่อของกรีกเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 1 รายงานถึงวิธีการใช้ว่านหางจระเข้ในการรักษาโรคต่างๆอย่างละเอียดพิสดาร ตั้งแต่รักษาบาดแผล โรคนอนไม่หลับ กระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร อาการคันที่ผิวหนัง ปวดหัว ผมร่วง โรคเหงือกและฟัน โรคไต ผิวหนังพอง ผิวถูกแดดเผา ผิวด่างดำ ช่วยบำรุงผิวหนัง ระงับอาการปวดและอื่นๆ

นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า อริสโตเติ้ลได้กราบบังคมทูลให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยึดเกาะโซโครโต ซึ่งอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออกของแอฟริกา เพื่อเอาว่านหางจระเข้มาไว้ใช้สำหรับรักษาบาดแผลของทหารที่ออกสู้รบ นอกจากนี้ บันทึกสมัยโบราณฉบับอื่นๆก็บรรยายถึงการใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิว ป้องกันผิวจากแดดเผา ถูกลมเป่า ถูกไฟลวก และผิวแตกเมื่อถูกความเย็น รักษาบาดแผลเล็กๆน้อยๆ แก้แมลงสัตว์กัดต่อย แผลถลอก แผลน้ำร้อนลวก แผลมีดบาด ผื่นคัน สิว ผิวหนังเป็นด่างดำ ผิวหนังถูกใบตำแยหรือแพ้สารต่างๆ แผลชอนทะลุ คันคอเนื่องจากกินอาหารผิด แผลเรื้อรัง ผื่นปวดแสบปวดร้อน และโรคผิวหนังอื่นๆ ในคัมภีร์ไบเบิล ( จอห์น 19: 39 ) มีบันทึกไว้ว่า ยาชโลมพระศพพระเยซูมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้อยู่ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552


ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยรัชของสหรัฐฯ ได้ขุดค้นหาความรู้ใหม่พบเหตุผลสำคัญของการที่คนเราต้องพยายามลดไขมันรอบพุงลงเสียว่า เพราะมันอาจทำให้เรากลายเป็นคนซึมเศร้า และพลอยล่อแหลมกับการตกเป็นเหยื่อของโรคหัวใจ และเบาหวาน

นักวิทยาศาสตร์เคยได้ระแคะระคายมาก่อนแล้วว่า อาการซึมเศร้าเป็นเพื่อนเกลอกับภัยของโรคหัวใจที่ใกล้เข้ามา และเบา หวานแต่ไม่รู้สาเหตุแน่นอน

วารสารวิชาการ "เวชศาสตร์กายจิต" รายงานผลการศึกษาแจ้งว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพบความเกี่ยวพันของไขมันที่สะสมอยู่รอบพุงกับอาการซึมเศร้าว่า ไขมันเหล่านั้นได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีขึ้นในร่างกาย อย่างเช่น ก่อให้เกิดสารประกอบของคอร์ติโซลกับสาร ประกอบที่ก่อให้เกิดการอักเสบ

"ผลการศึกษาส่อว่า ภาวะที่เนื้อเยื่อมีไขมันสูง ซึ่งทั่วไปเรียกว่าไขมันรอบพุง เป็นช่องทางสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ภาวะซึมเศร้า มีส่วนส่งเสริมภัยของโรคหลอดเลือดหัวใจและเบาหวาน เราได้พบว่าอาการซึมเศร้าเกี่ยวพันกับไขมันรอบพุงอย่างชัดเจน".

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อุปนิสัย 7 ประการ ของผู้มีประสิทธิผลสูง

สตีเวน อาร์ โควีย์ ( Stephen R. Covey ) เจ้าของแนวคิด อุปนิสัย 7 ประการของผู้มีประสิทธิผลสูง ( The 7 Habits of Highly Effective People ) ชี้ว่า คำว่า “ ผู้นำ ” นั้น เป็นมากกว่าคำเรียกเฉพาะตำแหน่งที่โก้หรู เท่านั้น แต่องค์กรจะประสบผลสำเร็จได้ต้องมีผู้นำในทุกระดับ นั่นคือ พนักงานทุกคนขององค์กรต้องมีความเป็นผู้นำ โดยบ่มเพาะอุปนิสัยทางบวกให้เกิดขึ้นอย่างแข็งแกร่งจนนำองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ต้องการบรรลุได้



อุปนิสัย 7 ประการ มีอะไรบ้าง ?

อุปนิสัยที่ 1โพรแอกทีฟ ( Proactive ) - หลักการวิสัยทัศน์ส่วนบุคคล

ต้องเป็นคนที่มีอิสรภาพในการเลือก มีทางเลือกของตนเองบนพื้นฐานค่านิยมที่ถูกต้อง และรับผิดชอบต่อทางเลือกของตนเอง อุปนิสัยที่ 1 จะเป็นพื้นฐานของของอุปนิสัยที่ 2 – 7 ถ้าไม่สามารถสร้างอุปนิสัยที่ 1 ได้ ก็จะไม่สามารถสร้างอุปนิสัยที่ 2 – 7 ได้


อุปนิสัยที่ 2เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ - หลักการของการเป็นผู้นำในตนเอง

หลังจากที่เรามีทางเลือกของเราเอง เราต้องสร้างภาพในใจขึ้นมาก่อน เหมือนแผนที่นำทางว่าอยากเห็นตนเองเป็นอย่างไร อยากเห็นผลงานเป็นอย่างไร จากนั้นจึงเริ่มลงมือปฏิบัติ


อุปนิสัยที่ 3ทำสิ่งที่สำคัญก่อน - หลักการบริหารส่วนบุคคล

ขั้นนี้เป็นการเริ่มลงมือปฏิบัติโดยเริ่มต้นจากเรื่องที่สำคัญก่อน จงยึดหลักว่า “ ชีวิตนั้นสั้น ดังนั้นจึงควรทำสิ่งที่สำคัญในชีวิตก่อน ” เราจะทำอย่างนั้นได้ต้องมีการบริหารเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่ต้องทำคือเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หากทำได้ก็จะสามารถพึ่งตนเองได้


อุปนิสัยที่ 4คิดแบบชนะ – ชนะ

มีแนวคิดว่า ถ้าครอบครัวได้ เราก็ได้ด้วย ถ้าองค์กรได้ เราก็ได้ด้วย แนวคิดเช่นนี้ทำให้เกิดความร่วมมือกัน หากเป็นตรงกันข้ามกับความคิดแบบตนเองชนะ คนอื่นแพ้ ก็จะเกิดการแข่งขันกัน


อุปนิสัยที่ 5เข้าใจผู้อื่นก่อนก่อนให้ผู้อื่นเข้าใจเรา - หลักการผู้นำระหว่างบุคคล

ถ้าไม่คิดแบบชนะ – ชนะ คนเราจะไม่ยอมเข้าใจคนอื่นก่อน การจะเข้าใจคนอื่นก่อนได้ ต้องฟังให้มาก ๆ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจผู้ที่เราฟัง แต่ถ้าไม่ฟังและพูดอย่างเดียว ก็จะไม่เข้าใจ เมื่อเข้าใจเขาแล้ว เขาจะเข้าใจเราเช่นกัน


อุปนิสัยที่ 6ผนึกพลังประสานความต่าง - หลักการร่วมมืออย่างสร้างสรรค์

เมื่อเข้าใจผู้อื่นแล้วจะเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล แล้วจะให้คุณค่าในความแตกต่าง เหล่านั้น ซึ่งจะนำไปสู่ความสามารถในการใช้ความแตกต่างนั้นมาผนึกพลัง ประสานความต่างได้ เมื่อเกิดความร่วมมือกัน ( Synergy ) เมื่อนั้นเราจะมีชัยชนะ หากเราสามารถพึ่งพากันได้


อุปนิสัยที่ 7ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ - หลักการเติมพลังชีวิตให้สมดุล

ชีวิตประกอบไปด้วยปัจจัย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านกายภาพ ด้านสติปัญญา ด้านสังคม – อารมณ์ และด้านจิตวิญญาณเมื่อตนเองมีประสิทธิผลสูงแล้ว จะโยงมาถึงอุปนิสัยที่ 8 ที่จะมุ่งให้ฟังเสียงของตนเอง เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของตนเองและเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม เขาจะค้นพบเหมือนที่เราค้นพบและจะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ ( The 8 th. Habit : From Effective to Greatness )

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แบตเตอรี่ไวรัส

อีกไม่นาน Laptop, iPod หรือ โทรศัพท์มือถือ ทำงานได้ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ไวรัส! นักวิจัยได้ค้นพบวิธีตัดต่อพันธุกรรมให้เจ้าเชื้อโรคตัวร้ายทำงานได้เหมือนกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้


งานวิจัยชิ้นนี้ถูกนำออกเสนอทางอินเตอร์เนตในเว็ป Science ครั้งแรกในวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา



ในงานวิจัยก่อนหน้านี้ ทางทีมวิจัยได้ตัดต่อพันธุกรรมให้ไวรัสทำหน้าที่เป็น electrode ด้านลบหรือ anode ได้สำเร็จ ในงานวิจัยชิ้นนี้ พวกเขาทำให้ไวรัสทำหน้าที่เป็น electrode ด้านบวกหรือ cathode ซึ่งเมื่อนำเอาไวรัสสองชนิดนี้มาใช้งานรวมกัน เราก็จะได้แบตเตอรี่จากไวรัส ซึ่งนอกจากจะทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแล้ว ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย



“เพราะว่าไวรัสนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต เราจึงใช้เพียงสารละลายที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย ไม่มีการใช้แรงดันหรืออุณหภูมิสูงในการผลิตและใช้งาน” Angela Belcher นักวิจัยวัสดุศาสตร์ มหาวิทยาลัย MIT เคมบริดจ์ สหรัฐอเมริกา ตัวแทนทีมวิจัย กล่าว



แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใช้อยู่ทั่วไปนั้นจะเก็บและปล่อยพลังงานไฟฟ้าเมื่อไอออนของลิเทียมและอิเล็คตรอนเคลื่อนที่ระหว่าง electrode ขั้วลบกับขั้วบวก โดยทั่วไปแล้ว electrode ขั้วบวกนั้นจะทำจาก เหล็กฟอสเฟต ซึ่งมีความเสถียรสูง แต่นำไฟฟ้าได้ไม่ดีนัก เมื่อเหล็กฟอสเฟตทำปฏิกิริยากับลิเทียม มันจะสามารถเก็บสะสมพลังงานไว้ได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อมีการเคลื่อนที่ของไอออนและอิเล็คตรอนผ่านขั้วบวก การเคลื่อนที่จึงเป็นไปได้ช้า ทำให้ประสิทธิภาพในการปล่อยพลังงานลดน้อยลง



ไอออนและอิเล็คตรอนจะเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นเมื่อเคลื่อนที่ผ่านอณุภาคขนาดเล็ก การทำให้เหล็กฟอสเฟตอยู่ในรูปอณุภาคมีขนาดเล็กเพิ่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้น จะต้องผ่านกระบวนการที่ยุ่งยากและมีราคาสูง ดังนั้น ทีมของ Belcher จึ้งตัดต่อพันธุกรรมของไวรัส M13 ให้ปกคลุมตัวเองด้วยเหล็กฟอสเฟต เพียงเท่านี้เราก็จะได้เหล็กฟอสเฟตขนาดจิ๋วจากไวรัส


ตัดต่อยีนที่สองอีกเสียหน่อยก็จะทำให้ด้านหนึ่งที่เหลือของไวรัสติดเข้ากับท่อนาโนคาร์บอนซึ่งนำไฟฟ้าได้ดี เท่านี้เราก็จะได้อณุภาคเหล็กฟอสเฟตที่เก็บสะสมพลังงานได้ดี แถมยังให้ไอออนกับอิเล็คตรอนเคลื่อนที่ได้ดีอีกด้วย


“งานวิจัยครั้งนี้ถือเป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นมาก” นักเคมีแบตเตอรี่ Kang Xu จากห้องแล็ปของกองทัพสหรัฐฯในAdelphi กล่าว “Belcher นับเป็นนักวิจัยคนแรกที่ใช้ต้นแบบทางชีววิทยาในการตัดต่อวัสดุเข้าด้วยกัน”

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หยุดอายุไว้ที่วัยหนุ่มสาว ด้วยการดื่มชาอังกฤษ

เวลาที่มีใครสักคนตรงเข้ามาทักคุณว่า ดูสาวขึ้น หรือ ดูหนุ่มขึ้นนะ เราเชื่อว่าวันนั้นคุณคงปลื้ม ยิ้มหน้าบานไปทั้งวัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอายุจริงของคุณอยู่ในวัยที่เกินกว่าจะเรียกว่า หนุ่ม-สาวแล้วด้วย )

คุณไม่สามารถหยุดวันเวลาเพื่อชลอวัยหรือหยุดตัวเลขของอายุได้ก็จริง แต่คุณสามารถควบคุมปัจจัยอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยเหี่ยวย่น หรือนานาโรคร้ายที่มักจะมาเยือนตามวัย อาทิ โรคความจำเสื่อม โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคอัมพาต โรคมะเร็ง โรคเหล่านี้เป็นผลจากดูแลตัวเอง การใช้ชีวิต อาหารที่ทานเข้าไป รวมถึงเครื่องดื่มก็มีผลต่อความอ่อนวัยไม่แพ้กัน


เคยมีใครบางคนกล่าวไว้ว่า การดื่มชาเสมือนยาวิเศษ คำพูดนี้ไม่ได้เว่อร์เกินจริงเลยค่ะ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าเครื่องดื่มที่เราเรียกกันว่า ชา นี้ มีสารวิเศษมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชาดำ หรือ ชาอังกฤษ


ชาอังกฤษจะมีสารวิเศษอยู่หลากหลาย ที่เด่นๆ ก็ได้แก่ โพลิฟินนอล เจ้าสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ไม่ให้ร่วงโรยไปตามวัย ทำให้เซลล์เหล่านั้นเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ได้นานๆ แม้จะไม่ยาวนานตลอดไป แต่ก็ช่วยชะลอความชราให้มาถึงเราช้ากว่าคนอื่นๆ หลายเท่าตัว


สารวิเศษอีกตัวก็คือ Catechin เป็นสารออกฤทธิ์ที่พบในชาอังกฤษ ซึ่งได้รับการยืนยันว่ามีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถชะลอความชราและต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ใน 3 ลักษณะ คือช่วยป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของร่างกายให้สามารถกำจัดหรือแปลงสภาพสารพิษภายในร่างกายไม่ให้ส่งผลเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และช่วยหยุดยั้งภาวะการเติบโตของเซลล์มะเร็ง


ไม่เพียงเท่านั้น Catechin ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส รวมถึงการมีบทบาทในระบบความดันโลหิต และเป็นสารควบคุมปริมาณไขมันโคเลสเตอรอล ไม่ให้เกิดอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือด ขณะเดียวกันยังช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดจากภาวะเลือดแข็งตัว ที่ส่งผลให้เกิดเป็นโรคหัวใจ และภาวะหัวใจวายเฉียบพลันด้วย


คุณสมบัติอีกประการของ Catechin ที่ได้รับการกล่าวถึงมากในปัจจุบันคือช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ซึ่งได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการลดน้ำหนักว่า Catechin ควบคุมน้ำหนักและ ช่วยให้มีรูปร่างเพรียวบางสมส่วนได้


ในต่างประเทศมีการวิจัยค้นพบว่าคนที่ดื่มชาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอวันละ 3 แก้วทุกวัน จะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นอัมพาตได้ และยังช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ชลอความชราที่จะมาเยือน คนที่ชอบดื่มชาเป็นประจำจึงมักจะ สดชื่น สดใส และอ่อนวัยอยู่เสมอ

ทำไมคนไทยชอบทานเผ็ด

หลายทฤษฎีที่ใช้อธิบายเหตุผลว่า ทำไมคนเขตร้อนจึงกินพริก บางทีเป็นเพราะพริกช่วยขับเหงื่อ ทำให้ความร้อนในกายถูกระบายออกมามากขึ้น บ้างก็ว่าพริกมีสารเคมีที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ช่วยกันบูด อาหารของคนเขตร้อนบูดเน่าง่าย พริกจึงได้รับความนิยมใช้เป็นสารกันบูดจากธรรมชาติ ข้อนี้น่าฟังดี เพราะคนใต้เวลาทำขนมหวานที่มีกะทิ เช่น ลอดช่อง ข้าวเหนียวทุเรียน ชาวบ้านจะเอาพริกขี้หนูสีแดงแปร๊ดใส่ลอยลงไปเหมือนคนที่ภาคกลางลอยมะลิ ผมถามว่าทำเพื่ออะไร ชาวบ้านตอบว่าทำให้กะทิอยู่ได้นาน ไม่บูด ยังเคยเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า ลอดช่องน้ำกะทิของคนใต้ใส่พริกเป็นเม็ด เพื่อนหัวเราะนึกว่าเราพูดเล่น
พอล โรซิน นักจิตวิทยา และนักวิจัยมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย อธิบายปรากฏการณ์กินเผ็ดว่าเป็น "Constrained Risk" เขากล่าวว่า การกินเผ็ดจะให้ความรู้สึกแก่มนุษย์คล้ายคลึงกับการตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวหรือวิตกกังวล โดยไม่มีอันตรายคุกคามจริง เป็นอาการเดียวกับคนที่กระโดดร่มหรือเล่นรถไฟตีลังกา เมื่อหมดความรู้สึกกลัว เราก็จะปลอดโปร่งโล่งใจและมีความสุข พอล โรซิน สันนิษฐานว่า ขณะที่เราเผ็ดจนหูลั่น ตาลาย เหงื่อแตกนั้น ความเผ็ดจะไปกระตุ้นสมองให้หลั่งสารเอนโดฟิน (Endorphins) ในสมองส่วนกลาง ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน สารเอนโดฟินนี้รู้จักกันดีว่าเป็นตัวสร้างความสุข ดังนั้นเมื่อทานอาหารรสเผ็ดจัด ผู้ทานจะเกิดความสุขไปพร้อมๆ กัน และเป็นเหตุให้อยากเพิ่มขนาดพริกขึ้นทีละน้อยเพื่อให้ได้ความสุขมากขึ้น